ข่าวประเสริฐ



ข่าวประเสริฐ





ข่าวประเสริฐ

คุณได้รับชีวิตนิรันดร์หรือยัง?




คำถาม: คุณได้รับชีวิตนิรันดร์หรือยัง?

คำตอบ:
พระคัมภีร์ได้แสดงให้เห็นถึงวิถีทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์อย่างชัดเจน อันดับแรกเราต้องทราบก่อนว่าเราได้กระทำบาปต่อพระเจ้า ในพระธรรม (โรม 3:23)ได้ เขียนไว้ว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” เราได้กระทำบาปหลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย ซึ่งทำให้เราสมควรได้รับโทษของบาปนั้นและเนื่องจากความผิดบาปของเราเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่นิรันดร์ ดังนั้นการได้รับโทษจึงคงอยู่ตลอดชั่วนิรันดร์ พระธรรม (โรม 6:23) ได้เขียนไว้ว่า “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากความบาปทั้งปวง พระธรรม (1 เปโตร 2:22) ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าซึ่งเสด็จลงมาเป็นมนุษย์ และได้สิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเรา “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม5:8)และทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (ยอห์น 19:31-42) พระองค์ทรงรับโทษแทนเรา (2 โครินธ์ 5:21) และในวันที่สาม พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย (1โครินธ์ 15:1-4) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยขนะเหนือความตายของพระองค์ ในพระธรรม (1 เปโตร 1:3) กล่าวว่า “ สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์” โดยทางความเชื่อ เราจึงต้องหันหลังให้กับความบาป และหันเข้าหาพระคริสต์เพื่อรับการไถ่ (กิจการ 3:19) หากเรามีความเชื่อในพระองค์ และไว้วางใจว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขนเป็นการรับโทษความบาปแทนเรา เราก็จะได้รับการยกโทษ และได้รับชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) “ คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด ” (โรม 10:9) ทางที่จะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือการมีความเชื่อในภารกิจของพระคริสต์บนไม้กางเขน! “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ ” (เอเฟซัส 2:8-9)

หากคุณต้องการต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด) มีเพียงความเชื่อและไว้วางใจในพระคริสต์เท่านั้น ที่ช่วยคุณให้รอดจากโทษของบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่าย ๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่มีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงไถ่คุณให้พ้นจากอำนาจบาป… “ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรได้รับการลงโทษ แต่พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการยกโทษโดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระคริสต์ ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจในพระองค์สำหรับการไถ่ข้าพเจ้าให้พ้นจากบาป ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า .. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




คุณได้รับชีวิตนิรันดร์หรือยัง?

ฉันจะได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้าได้อย่างไร?




คำถาม: ฉันจะได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้าได้อย่างไร?

คำตอบ:
ในพระธรรม (กิจการ 13:38) เขียนไว้ว่า “เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์ นั้นแหละจึงได้ประกาศการยกความผิดแก่ท่านทั้งหลาย”

การอภัยโทษคืออะไร? และทำไมฉันจึงจำเป็นต้องได้รับ?

คำว่า “การให้อภัย” หมายถึงการชำระให้สะอาด การยกโทษให้ การยกเลิกหนี้ให้ เมื่อเรากระทำผิดต่อใครบางคน เราต้องการ การให้อภัยจากเขา เพื่อให้ความสัมพันธ์กลับมาคืนดีดังเดิม การให้อภัยไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราสมควรได้รับการยกโทษ ไม่มีใครสมควรได้รับการยกโทษเลย แต่การให้อภัยเป็นการกระทำด้วยความรัก ความเมตตา และพระคุณ การให้อภัยเป็นการตัดสินใจที่จะไม่ถือโทษคนอื่น ไม่ว่าเขาจะกระทำอย่างไรต่อคุณก็ตาม

พระคัมภีร์บอกเราว่า เราทั้งหลายต้องการการให้อภัยจากพระเจ้า เพราะเราได้กระทำบาป ในพระธรรม (เอเสเคียล 7:20) บอกว่า “ไม่มีผู้ชอบธรรมสักคนหนึ่งในโลกนี้เลย ไม่มีผู้ใดเลยที่ไม่เคยกระทำบาป” ในพระธรรม(1 ยอห์น 1:8) กล่าวว่า “ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย” ความบาปเป็นการกระทำชั่วต่อพระเจ้า ในพระธรรม (สดุดี 51:4) ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องได้การให้อภัยจากพระเจ้า ถ้าบาปของเราไม่ได้รับการอภัย เราจะต้องทนทุกข์กับผลของความบาปตลอดกาล ในพระธรรม (มัทธิว 25:46 และ ยอห์น 3:36)

การให้อภัย – ฉันจะได้รับการให้อภัยได้อย่างไร?

ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรักและความเมตตา ผู้ทรงปรารถนายกโทษบาปให้เรา! ในพระธรรม (2 เปโตร 3:9) บอกเราว่า “...แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่” พระเจ้าปรารถนายกความผิดบาปของเรา พระองค์จึงจัดเตรียมการยกโทษให้แก่เราแล้ว

โทษประการเดียวของความบาปคือความตาย ในประโยคแรกของพระธรรมโรม 6:23 เขียนไว้ว่า “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย...” ความตายชั่วกัปชั่วกัลป์คือสิ่งที่เราจะได้รับจากความบาปของเรา แต่โดยแผนการอันสมบูรณ์ของพระเจ้า พระองค์ทรงเสด็จมาเป็นมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์ ในพระธรรม (ยอห์น 1:1-14) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน รับโทษที่เราสมควรต้องได้รับ คือความตาย ใน ในพระธรรม (2 โครินธ์ 5:21) ได้สอนเราว่า “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน รับโทษแทนเรา! เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูได้ชำระล้างความบาปทั้งหมดของโลกนี้แล้ว ในพระธรรม (1 ยอห์น 2:2) กล่าวว่า “และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย” พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงประกาศชัยชนะของพระองค์เหนือความบาปและความตาย ในพระธรรม (1โครินธ์ 15:1-28) จงสรรเสริญพระเจ้า ที่โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ทำให้สิ่งที่กล่าวไว้ในประโยคหลังพระธรรมโรม 6:23 เป็นความจริง “...แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

คุณต้องการให้ความบาปของคุณได้รับการอภัยหรือไม่?

คุณมีความรู้สึกผิดที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามีอะไรติดค้างอยู่ และไม่สามารถหลุดพ้นไปได้หรือไม่? เพียงคุณมีความเชื่อและรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ความผิดบาปของคุณก็จะได้รับการให้อภัย ในพระธรรม (เอเฟซัส 1:7) เขียนไว้ว่า “ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์” พระเยซูได้ชดใช้หนี้ให้เรา เพื่อเราจะได้รับการอภัยโทษ สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียง ขอให้พระเจ้ายกโทษให้คุณโดยผ่านทางพระเยซู และเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อชำระล้างบาปของคุณ และพระองค์จะทรงยกโทษให้คุณ! ในพระธรรม (ยอห์น 3:16-17) ได้กล่าวถึงข้อความอันแสนวิเศษไว้ดังนี้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” การให้อภัย – ง่ายอย่างนั้นเชียวหรือ?

ใช่.! มันง่ายนิดเดียว..คุณไม่สามารถกระทำสิ่งใดเพื่อชำระหรือชดเชยการให้อภัยจากพระเจ้าได้ คุณทำได้เพียงรับจากพระองค์ โดยผ่านความเชื่อ ผ่านทางพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้า ถ้าคุณต้องการรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและรับการให้อภัยโทษจากพระเจ้า นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (แต่การอธิษฐานตามนี้ หรือการอธิษฐานใด ๆ ก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด มีเพียงความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทำให้ความผิดบาปได้รับการอภัย) คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่าย ๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่มีในพระเจ้า และเป็นการขอบคุณพระองค์ที่ทรงเตรียมการอภัยโทษให้แก่คุณ.. “ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่า ได้กระทำบาปต่อพระองค์ และข้าพระองค์สมควรได้รับการลงโทษ แต่พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษไปจากตัวข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้รับการยกโทษโดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระคริสต์ ข้าพระองค์จะหันหลังให้กับความบาปของข้าพระองค์ และขอมอบความไว้วางใจในพระองค์สำหรับการไถ่ข้าพระองค์ให้พ้นจากบาป ขอสรรเสริญสำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่ และการให้อภัยจากพระองค์ ทูลขอในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




ฉันจะได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้าได้อย่างไร?

ฉันเป็นพุทธศาสนิกชน, แล้วฉันจะต้องอยากเป็นคริสเตียนทำไม?




คำถาม: ฉันเป็นพุทธศาสนิกชน, แล้วฉันจะต้องอยากเป็นคริสเตียนทำไม?

คำตอบ:
ประการแรก ในขณะที่ทั้งในความเชื่อของคริสเตียน และ ศาสนาพุทธมีบุคคลในประวัติศาสตร์เป็นจุดศูนย์กลางเหมือนกัน คือพระเยซู และพระพุทธเจ้าตามลำดับ แต่พระเยซูพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย มีศาสดามากมายในประวัติศาสตร์ที่รอบรู้ และหลายองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา พระสิททัตถะ โคตะมะ หรือพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีอีกชื่อหนึ่งว่าพระศรีศากยมุนีทรงโดดเด่นอยู่ท่ามกลางศาสดาทั้งหลายเพราะทรงมีสติปัญญาพิเศษและหลักปรัชญาชีวิตที่ล้ำลึก แต่พระเยซูก็ทรงโดดเด่นเช่นกัน และพระองค์ทรงยืนยันคำสอนฝ่ายวิญญาณของพระองค์ด้วยการทดสอบที่มีฤทธิอำนาจจากสวรรค์เท่านั้นที่จะทำได้ นั่นคือการยืนยันด้วยการวายพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ – ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้และถูกทำให้สำเร็จลงด้วยพระองค์เอง (มัทธิว 16:21; 20:18-19; มาระโก 8:31; 1 ลูกา 9:22; ยอห์น 20-21; 1 โครินธ์ 15) ดังนั้นพระเยซูจึงทรงสมควรที่จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

ประการที่สอง ข้อพระคัมภีร์ของคริสเตียนโดดเด่นทางประวัติศาสตร์ และสมควรที่จะได้รับการพิจารณาอย่างแท้จริง เราอาจถึงกับพูดได้ว่าประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เป็นความจริงเสียจนกระทั่งการสงสัยพระคัมภีร์คือการสงสัยประวัติศาสตร์เสียเอง เนื่องจากพระคัมภีร์เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ จากหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ พันธสัญญาใหม่คือหนังสือเล่มเดียวที่พิสูจน์ได้ในทางประวัติศาสตร์ดียิ่งกว่าพันธสัญญาเดิม (พระคัมภีร์ของชาวฮีบรู) โดยการพิจารณาจากหัวข้อต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1) มีเอกสารตัวเขียนเกี่ยวกับพันธสัญญาใหม่ที่ยังเหลืออยู่มากกว่าเอกสารใดในประวัติศาสตร์ - มีเอกสารที่เขียนด้วยมือเป็นภาษากรีกโบราณ 5,000 ฉบับ, และที่เป็นภาษาอื่น ๆ อีก รวมกันแล้วเป็น 24,000 ฉบับ ความหลายหลากของเอกสารดังกล่าวทำให้มันกลายเป็นแหล่งค้นคว้าอันมหึมาที่เราสามารถตรวจข้อความกลับไปกลับมาระหว่างเอกสารหนึ่งกับอีกเอกสารหนึ่งได้ เพื่อให้แน่ใจว่าต้นฉบับเขียนว่าอย่างไร

2) เอกสารตัวเขียนของพันธสัญญาใหม่มีอายุใกล้เคียงกับต้นฉบับมากกว่าเอกสารใดในประวัติศาสตร์ ต้นฉบับทั้งหมดถูกเขียนขึ้นในศตวรรษแรกโดยมีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นพยาน และในปัจจุบันเรามีบางส่วนของเอกสารตัวเขียนที่มีอายุเก่าขนาดปี ค.ศ. 125 สำเนาของหนังสือทั้งเล่มถูกค้นพบในราวปีค.ศ. 200 และเราสามารถค้นพบได้ว่าพันธสัญญาใหม่ที่สมบูรณ์ลงวันที่ย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ. 250 จากการที่หนังสือทุกฉบับถูกเขียนขึ้นมาตั้งแต่ดั้งเดิมโดยมีประจักษ์พยานร่วมสมัยเป็นพยาน นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่เทพนิยายหรือนิทานชาวบ้านที่เล่าต่อ ๆ กันมา อีกทั้งสิ่งที่พระคัมภีร์ยืนยันว่าเป็นความจริงได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง โดยการถูกต่อต้านอย่างรุนแรง และโดยสมาชิกของคริสตจักรผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เอง

3) เอกสารในพันธสัญญาใหม่ถูกต้องแม่นยำมากกว่าเอกสารใดในประวัติศาสตร์ จอห์น อาร์ โรบินสัน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Honest To God รายงานว่าเอกสารในพันธสัญญาใหม่ถูกต้องแม่นยำ 99.9% (ถูกต้องมากกว่าหนังสือโบราณใด ๆ ทั้งสิ้น) ส่วน บรูซ เมทซเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพันธสัญญาใหม่ฉบับภาษากรีก ให้คะแนนอยู่ที่ 99.5%

ประการที่สาม จริยธรรมของคริสเตียนมีพื้นฐานมั่นคงกว่าจริยธรรมของศาสนาพุทธ จริยธรรมของคริสเตียนมีพื้นฐานมาจากพระลักษณะส่วนตัวของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นบุคคลและทรงชอบธรรม ธรรมชาติของพระองค์นั้นดี การกระทำซึ่งสอดคล้องกับความดีงามของพระองค์โดยปกติแล้วเป็นการกระทำที่ดี และการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับความดีงามของพระองค์โดยปกติแล้วเป็นการกระทำที่ไม่ดี แต่ตามความเห็นของพุทธศาสนิกชนความจริงนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นบุคคล แต่ว่าความรู้สึกผิดและชอบต้องการความมีตัวตน เพื่อที่จะได้เห็นภาพชัดเจนให้เราพิจารณาความรู้สึกผิดชอบของก้อนหินกัน ไม่มีใครโทษก้อนหินว่ามันถูกใช้ในการฆาตกรรม เพราะมันไม่มีชีวิตจิตใจที่จะรู้ว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดี แต่ความรับผิดชอบนั้นตกอยู่กับคนที่ใช้มันเพื่อการร้าย เราจะเห็นว่าศาสนาพุทธขาดโครงสร้างที่มีชีวิตที่จะมารับผิดชอบการกระทำเกี่ยวกับคุณธรรมไป ในศาสนาพุทธ กรรมคือโครงสร้างทางด้านคุณธรรม แต่กรรมไม่มีชีวิต มันคล้ายกับกฎแห่งธรรมชาติ การทำผิด“กฎ” แห่งกรรม โดยเนื้อแท้แล้วจึงไม่ใช่เรื่องชั่วร้าย ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีข้อแตกต่างอะไรมากมายนักระหว่างความผิดพลาด (ความผิดพลาดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณธรรม) และความบาป (การกระทำที่ผิดคุณธรรม) ยิ่งไปกว่านั้นพุทธศาสนิกชนเป็นอันมากเชื่อว่าในที่สุด “ความดี” และ “ความชั่ว” ก็จะหักล้างกันไปเอง “ความดี” และ “ความชั่ว” เป็นเพียง มายา หรือภาพลวงตาของความจริงเท่านั้น คุณธรรมไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะชี้ให้เห็นถึงความจริงได้ ผู้ที่มีความเข้าใจจะเห็นว่าตอนนี้ความดีและความชั่วเข้ามาปนเปกันจนกลายเป็นสิ่งเดียวกันไปเสียแล้ว แต่การเป็นเช่นนั้นทำให้หมายความว่าในที่สุดความจริงก็คงจะไม่ “ดี” นัก แต่ก็คงไม่ “ชั่วร้าย” นักเช่นกัน แล้วจะมีอะไรมายืนยันว่า “ความจริง” มีค่ามากพอให้เราแสวงหาเล่า แล้วเราจะมีหลักอะไรมายึดถือในการใช้ชีวิตที่ดีอย่างมีคุณธรรม หรือไม่มีคุณธรรม หากไม่มีข้อแตกต่างให้เห็น หรือเราจะอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยเพื่อจะได้ไม่ต้องเลือกว่าอะไรดีหรือไม่ดี? หากศาสนาพุทธยืนยันว่าความจริงไม่มีตัวตน และข้อแตกต่างระหว่างความดีและความชั่วจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ความจริง ดังนั้นศาสนาพุทธก็ไม่มีพื้นฐานที่แท้จริงทางด้านคุณธรรม ในทางกลับกันความเชื่อของคริสเตียนสามารถชี้ได้ทั้งสองประการไปถึงพระลักษณะของพระเจ้าในฐานะผู้ทรงวางรากฐานเกี่ยวกับคุณธรรม และผู้ทรงปูพื้นฐานข้อแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว

ประการที่สี่ คริสเตียนเห็นคุณค่าที่ถูกต้องของ “ความปรารถนา” ส่วนคุณธรรมในศาสนาพุทธดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในเรื่องนี้ พระศรีศากยะมุนี สอนว่า ตัณหา – “ความปรารถนา” หรือ “ความผูกติด” – คือรากเหง้าของความทุกข์และควรได้รับการจัดการให้หมดไป แต่เป็นที่ยอมรับว่าสิ่งดี ๆ บางอย่างมาจากแนวความคิดที่เกี่ยวกับความปรารถนาที่ว่านี้ ยกตัวอย่างเช่น ความรักคือ “ความปรารถนา” ที่จะให้สิ่งดีกับผู้อื่น (ดู ยอห์น 15:13; 1 ยอห์น 4:7-12) คนเราไม่สามารถรักได้หากเขาไม่มีความ ปรารถนา ในระดับหนึ่ง ที่จะให้คน ๆ นั้นได้รับแต่สิ่งที่ดี ๆ ความเชื่อของคริสเตียนสอนว่าความปรารถนาเป็นสิ่งที่ดีหากมันถูกใช้อย่างเหมาะสม ท่านเปาโลหนุนใจให้คริสเตียน “กระตือรือร้นอย่างจริงจังบรรดาของประทานอันดีที่สุดนั้น” (1 โครินธ์ 12:31; 14:1) ในหนังสือสดุดี เราได้เห็นภาพของผู้นมัสการโหยหาและปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า (สดุดี 42:1-2; 84) และแน่นอนพระเจ้าทรงไม่ได้ทำเป็นว่ารัก แต่พระองค์ทรงเป็น ความรัก (1 ยอห์น 4:9; สดุดี 136; ยอห์น 3:16) การโยนความปรารถนาทิ้งไปโดยรวมแล้วเหมือนกับการโยนทารกที่น่ารักคนหนึ่ง (ความรัก) ทิ้งไปเพราะน้ำอาบสกปรก (ความทุกข์)

ประการที่ห้า เป็นคำถามที่ถามว่า “ท่านทำอะไรกับความบาปของท่าน?” ศาสนาพุทธมีแนวความคิดอย่างน้อยสองแนวเกี่ยวกับความบาป ความบาปบางครั้งถูกเข้าใจว่าเป็นความไม่ใส่ใจ มันเป็นความบาปหากเราไม่เห็นหรือเข้าใจความจริงอย่างที่ศาสนาพุทธให้คำจำกัดความไว้ แต่ศาสนาพุทธยังมีแนวความคิดอีกอย่างหนึ่งด้วยเกี่ยวกับความผิดพลาดทางคุณธรรมที่เรียกว่า “ความบาป” การทำความชั่วโดยตั้งใจ, การทำลายกฎฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายโลก, หรือการมีความปรารถนาในสิ่งผิด, สิ่งเหล่านี้เป็นความบาปแน่นอน แต่คำจำกัดความหลังสุดเกี่ยวกับความบาปชี้ไปถึงความผิดพลาดทางคุณธรรมที่ต้องมีการแก้ไขชดเชยอย่างแท้จริง แล้วเราจะเอาอะไรมาชดเชยบาป? การยึดหลักกฎแห่งกรรมชดเชยบาปได้ไหม? กรรมไม่มีชีวิตและไม่มีคุณธรรม คนเราสามารถทำความดีเพื่อถ่วงดุลกับความชั่วได้ แต่เราไม่สามารถขจัดความบาปออกไปได้ กรรมไม่ได้แม้แต่จะบอกว่าเราจะเปลี่ยนความผิดทางด้านคุณธรรมให้เป็นความถูกต้องได้อย่างไร แล้วเราทำความผิดต่อใครเล่าหากเราทำความผิดในที่ลับ? กรรมไม่ได้สนใจอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นความผิดในที่ลับหรือที่แจ้งเพราะกรรมไม่มีชีวิต การแก้ไขชดเชยบาปเกิดขึ้นได้ด้วยการสวดมนตร์หรืออุทิศตัวให้กับพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าได้ไหม? แม้ว่าพระองค์อาจจะให้อภัยเราได้ แต่ความบาปก็ยังต้องมีการชดใช้อยู่ดี พระองค์อาจให้อภัยได้จึงทำให้ดูเหมือนว่าความบาปสามารถให้อภัยกันได้; มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

แต่ในอีกมุมหนึ่งความเชื่อแบบคริสเตียนดูเหมือนว่าจะเป็นความเชื่อเดียวมีมุมมองทางด้านศาสนศาสตร์เกี่ยวกับความบาปที่พอเพียง ตามความเชื่อของคริสเตียนความบาปเป็นความผิดพลาดทางด้านคุณธรรม ตั้งแต่สมัยอาดัมเป็นต้นมา มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความบาปติดตัว ความบาปเป็นเรื่องจริง และมันก่อให้เกิดช่องว่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างมนุษย์และความสุข ความบาปเรียกร้องความยุติธรรม แต่มันไม่สามารถ “หักลบ” กันได้กับการทำความดีที่เท่ากันหรือมากกว่า หากมีใครคนหนึ่งทำความดีมากกว่าความชั่ว 10 ครั้ง เขาก็ยังมีความชั่วอยู่ภายใต้จิตสำนึกของเขาอยู่นั่นเอง แล้วเกิดอะไรขึ้นสำหรับความชั่วที่ยังคงค้างคาอยู่? มันได้รับการให้อภัยเสมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรอย่างนั้นหรือ? มันได้รับอนุญาตให้อยู่ร่วมกับความสุขอย่างนั้นหรือ? มันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาโดยไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้นหรือ? คำตอบเหล่านี้ไม่มีคำตอบใดที่สมเหตุสมผล เมื่อพูดถึงภาพลวงตา ความบาปเป็นความจริงสำหรับเราเกินกว่าที่จะเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น เมื่อพูดถึงความบาปของเรา หากเราซื่อสัตย์กับตัวเองเรารู้ว่าเราทุกคนเคยทำบาปมาแล้วทั้งนั้น เมื่อพูดถึงการยกโทษ การยกโทษบาปง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียอะไรทั้งสิ้นทำให้ดูเหมือนว่าความบาปไม่มีผลเสียอะไรมากมายนัก แต่เรารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อพูดถึงความสุข “ความสุข” ก็คงไม่ดีอะไรนักหากความบาปยังแอบเข้ามากวนใจเราอยู่เรื่อย ๆ มันดูเหมือนว่าตาชั่งแห่งกรรมจะทิ้งให้เราสำนึกถึงความบาปอยู่ในใจจนความสุขทนไม่ได้ หรือไม่มันก็ต้องหยุดความเต็มที่ของมัน เพื่อที่เราจะเข้ามาได้

ความเชื่อของคริสเตียนมีคำตอบเกี่ยวกับความบาป ไม่มีความบาปใดที่ไม่ต้องถูกลงโทษ แต่โทษนั้นพระคริสต์ได้ทรงรับไปแล้วโดยการถูกตรึงบนกางเขน พระเจ้าทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์, ทรงมีชีวิตที่ไร้ตำหนิ, และทรงรับความตายที่เราสมควรจะได้รับ พระองค์ทรงถูกตรึงบนกางเขนในฐานะตัวแทนของเรา, ทรงเข้ามาแทนที่เรา, และทรงปกป้องเรา (หรือทรงเป็นเครื่องถวายบูชา) ให้หลุดพ้นจากความบาป แล้วพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ และพิสูจน์ว่าแม้แต่ความตายก็ไม่สามารถเอาชนะพระองค์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่าทุกคนที่เชื่อในพระองค์ว่าทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ก็จะได้รับการฟื้นขึ้นมาจากความตายไปสู่ชีวิตนิรันดร์เช่นเดียวกับพระองค์ (โรม 3:10, 23; 6:23; 8:12; 10:9-10; เอเฟซัส 2:8-9; ฟีลิปปี 3:21)

ไม่มี “ลัทธิความเชื่อแบบง่าย ๆ” ใด ที่แสดงว่าพระเจ้า, ทรงเปรียบเสมือนภารโรง, คอยตามเก็บกวาดความผิดของเรา แต่นี่เป็นการผูกพันตลอดชีวิต ที่เรารับสภาพใหม่และเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้าเอง (โรม 6:1; เอเฟซัส 2:1-10) เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงเป็นตามที่ทรงบอกไว้ในพระคัมภีร์, เชื่อจริง ๆ ว่าพระองค์ทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้ในพระคัมภีร์ และทุ่มชีวิตของเขาในความเชื่อนั้น – คน ๆ นั้นก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ท่านไม่สามารถเป็นเหมือนเดิมได้ถ้าท่านมีความเชื่อแบบนั้น เราไม่สามารถนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เฉย ๆ ได้เมื่อรู้ว่าบ้านกำลังถูกไฟไหม้ ความรู้นั้น (บ้านที่กำลังถูกไฟไหม้) กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาและเปลี่ยนชีวิตของท่าน (หยุดอ่านหนังสือพิมพ์แล้วทำอะไรบางอย่างเพื่อด้บไฟ)

หรือไม่ใช่ว่าพระเยซูทรงเป็นอีก “คำตอบหนึ่ง” ในหลาย ๆ คำตอบ ศาสนาทุกศาสนาในโลกมีความจริงระดับหนึ่ง, แต่พระเยซูคือคำตอบเดียวสำหรับสภาวะของมนุษย์ การนั่งวิปัสสนา, การใช้ความพยายาม, การอธิษฐาน ไม่ได้ช่วยทำให้เราสมควรที่จะได้รับของขวัญนิรันดร์จากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขความบาปที่เราได้ทำลงไปแล้วได้ การจ่ายค่าจ้างแห่งความบาปแทนเราโดยพระคริสต์ และการมีความเชื่อในพระองค์เท่านั้นที่ช่วยเราให้รอดพ้นจากความบาป เมื่อทำเช่นนั้นเท่านั้น ความบาปของเราจึงจะได้รับการไถ่ถอน, ความหวังได้รับการยืนยัน, และชีวิตของเราก็จะได้รับการเติมให้เต็มด้วยความหมายที่เป็นนิรันดร์

ท้ายที่สุด, โดยการเป็นคริสเตียนเท่านั้นที่เราจะรู้ได้ว่าเรารอดแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องพึ่งประสบการณ์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว, หรือการทำความดี หรือการนั่งวิปัสสนาอย่างเอาจริงเอาจัง หรือด้วยการนับถือพระเทียมเท็จที่เราพยายามเชื่อว่า “มีจริง” เรามีพระเจ้าที่แท้จริงผู้ทรงพระชนม์อยู่, มีความเชื่อที่มีประวัติศาสตร์หนุนหลัง, มีการเปิดเผยสำแดงของพระเจ้าที่ดำรงอยู่ตลอดไปและพิสูจน์ได้ (พระคัมภีร์) และบ้านบนสวรรค์กับพระเจ้าที่รับประกันไว้แล้วสำหรับเรา

ดังนั้นทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไรสำหรับท่าน? ท้ายที่สุดพระเยซูคือความเป็นจริง! พระเยซูคือเครื่องถวายบูชาที่เหมาะที่สุดสำหรับความบาปของเรา พระเจ้าทรงเสนอการให้อภัยและความรอดกับเราหากเราเพียงแต่ยื่นมือไปรับของขวัญของพระองค์มาเท่านั้น (ยอห์น 1:12) โดยเชื่อว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเสียสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา – สหายของพระองค์ – หากท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านก็จะได้รับความมั่นใจอย่างแท้จริงว่าท่านจะมีชีวิตนิรันดร์อยู่บนสวรรค์ พระเจ้าจะทรงยกโทษบาปให้ท่าน, ชำระจิตใจของท่าน, ฟื้นฟูวิญญาณของท่านขึ้นมาใหม่, ให้ชีวิตที่บริบูรณ์ในโลกนี้กับท่าน, และชีวิตนิรันดร์ในโลกหน้า แล้วเราจะปฏิเสธของขวัญที่มีคุณค่าอย่างนี้ได้อย่างไร? เราจะหันหลังให้กับพระเจ้าผู้ทรงรักเรามากพอที่จะเสียสละชีวิตของพระองค์เพื่อเราได้อย่างไรกัน?

หากท่านไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านเชื่อ เราขอเชิญให้ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าดังต่อไปนี้: “พระเจ้า ขอพระองค์ทรงช่วยให้ข้าพระองค์รู้ด้วยเถิดว่าอะไรคือความจริง ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ผิด ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รู้ด้วยเถิดว่าอะไรคือทางไปสู่ความรอดที่ถูกต้อง” พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเช่นนี้เสมอ

หากท่านต้องการต้อนรับพระเยซูให้เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ขอให้ท่านเพียงแค่พูดกับพระเจ้า, จะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงก็ได้, แล้วบอกพระองค์ว่าท่านต้องการรับของขวัญแห่งความรอดโดยทางพระเยซู หากท่านต้องการตัวอย่าง นี่คือตัวอย่าง: “พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงรักข้าพระองค์ ขอบคุณพระองค์สำหรับการเสียสละพระองค์เองเพื่อข้าพระองค์ ขอบคุณที่พระองค์สำหรับการให้อภัยและความรอด ข้าพระองค์ขอรับของขวัญแห่งความรอดโดยทางพระเยซู ข้าพระองค์ขอต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ ขออธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




ฉันเป็นพุทธศาสนิกชน, แล้วฉันจะต้องอยากเป็นคริสเตียนทำไม?

การต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณหมายความว่าอะไร?




คำถาม: การต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณหมายความว่าอะไร?

คำตอบ:
คุณเคยต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณไหม? ก่อนที่คุณจะตอบ ขอข้าพเจ้าอธิบายคำถามให้คุณเข้าใจเสียก่อน นั่นคือ การที่คุณจะเข้าใจคำถามนี้อย่างชัดเจน คุณจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า คำว่า “พระเยซูคริสต์” “ส่วนตัว” และ “พระผู้ช่วยให้รอด” หมายความว่าอะไร

พระเยซูคริสต์คือใคร? หลายคนตอบว่าพระเยซูคริสต์คือคนดีคนหนึ่ง, คืออาจารย์ที่สอนเก่ง หรือคือผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า คำตอบเหล่านี้ถูกทั้งนั้น แต่มันไม่ได้ชี้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นใครโดยแท้จริง พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเยซูคือพระเจ้าในสภาพมนุษย์ที่มีเนื้่อหนัง (ดูยอห์น 1:1, 14) พระเจ้าทรงเสด็จมาในโลกนี้เพื่อสั่งสอนเรา, รักษาเรา, แก้ไขตักเตือนเรา, ยกโทษให้เรา – และทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา! พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า, ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

พระผู้ช่วยให้รอดคือใคร และทำไมเราจึงต้องการพระองค์? พระคัมภีร์บอกว่าเราทั้งหลายได้ทำความผิดบาป, เราทุกคนได้เคยทำสิ่งที่ไม่ดีงาม (โรม 3:10-18) จากการทำบาปของเรานี้เอง จึงเป็นการสมควรที่พระเจ้าจะทรงพิโรธและพิพากษาเรา การลงโทษที่ยุติธรรมสำหรับความบาปที่เราได้กระทำลงไปต่อพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่โดยไม่มีจุดจบชั่วนิจนิรันดร์ คือการลงโทษอย่างไม่มีจุดจบชั่วนิจนิรันดร์ เช่นกัน (โรม 6:23; วิวรณ์ 20:11)

พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้และสิ้นพระชนม์แทนเรา การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในฐานะพระเจ้าในสภาพมนุษย์ เป็นการไถ่บาปอย่างไม่มีการสิ้นสุดให้กับเรา (2 โครินธ์ 5:21) พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายค่าจ้างแห่งความบาปแทนเรา (โรม 5:8) พระเยซูทรงรับผลแห่งความบาปไปแล้ว เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องรับผลนั้น การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์พิสูจน์ว่าการสิ้นพระชนมฺ์ของพระองค์ก็เพียงพอแล้วสำหรับค่าจ้างแห่งความบาปของเรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเยซูจึงทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เดียวเท่านั้น (ยอห์น 14:6; กิจการ 4:12)! คุณวางใจในพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของคุณไหม?

พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการ“ส่วนตัว” ของคุณหรือไม่? หลายคนมองว่าการเป็นคริสเตียนคือการไปโบสถ์ การไปทำพิธีทางศาสนา, การละเว้นการทำบาปบางชนิด แต่นั่นไม่ใช่การเป็นคริสเตียน การเป็นคริสเตียนที่แท้จริงคือการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซูคริสต์ การต้อนรับพระเยซูเข้ามาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณหมายความว่าคุณเชื่อและวางใจในพระองค์เป็นการส่วนตัว ไม่มีใครรอดพ้นจากความบาปได้จากความเชื่อของคนอื่น ไม่มีใครสามารถได้รับการยกโทษด้วยการกระทำบางอย่างได้ ทางเดียวที่คุณสามารถรอดได้คือการต้อนรับพระเยซูเข้ามาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของคุณเป็นการส่วนตัว และเชื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์คือการไถ่บาปให้กับคุณ และการฟื้นคืนพระชนม์คือการรับประกันว่าคุณจะได้รับชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16) พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณหรือยัง?

หากคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณ ขอให้ท่านอธิษฐานดังนี้กับพระเจ้า แต่จงจำไว้ว่า การอธิษฐานด้วยถ้อยคำเหล่านี้หรือถ้อยคำอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณรอดจากความบาป การวางใจในพระคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้คุณรอดได้ คำอธิษฐานนี้เป็นเพียงแต่วิธีง่าย ๆ ในการแสดงออกต่อพระเจ้าว่าคุณเชื่อในพระองค์ และเป็นการขอบคุณพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมความรอดไว้ให้คุณ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์ได้กระทำผิดบาปต่อพระองค์และสมควรที่จะได้รับโทษ แต่พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษที่ข้่าพระองค์สมควรจะได้รับแทนข้าพระองค์ไปแล้ว เพื่อว่าโดยความเชื่อในพระองค์ข้าพระองค์จะได้รับการยกโทษ ข้าพระองค์ขอหันหลังให้กัีบความบาปของข้าพระองค์และขอวางใจในพระองค์สำหรับความรอดพ้นจากความบาป ข้าพระองค์ขอต้อนรับพระเยซูเข้ามาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่่วนตัวของข้าพระองค์! ขอบคุณพระองค์สำหรับพระคุณและการให้อภัยบาปอันแสนอัศจรรย์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ที่มาจากพระองค์! ขออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์ อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




การต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณหมายความว่าอะไร?

แผนการสำหรับความรอดคืออะไร?




คำถาม: แผนการสำหรับความรอดคืออะไร?

คำตอบ:
คุณหิวไหม? ไม่ใช่ความหิวแบบที่ร่างกายเรียกร้อง แต่คุณเคยหิวอะไรที่มากกว่านั้นในชีวิตไหม? คุณหิวอะไรลึก ๆ ที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่เคยทำให้คุณอิ่มได้เลยไหม? ถ้าคุณหิวแบบนี้ พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวอีก และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย (ยอห์น 6:35)

คุณสับสนไหม? ดูเหมือนว่าคุณไม่เคยพบทางออกหรือรู้ว่าอะไรคือเป้าหมายในชีวิตใช่ไหม? ดูเหมือนว่ามีใครสักคนหนึ่งปิดไฟไว้แล้่วคุณหาสวิทช์ไม่เจอไหม? หากคุณมีความรู้สึกเช่นนั้น พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" (ยอห์น 8:12)

คุณเคยรู้สึกว่าประตูชีวิตของคุณถูกปิดไหม? คุณเคยลองหลาย ๆ ประตูแต่พบว่าทางออกนั้นว่างเปล่าและไร้ความหมายไหม? คุณกำลังมองหาทางไปสู่ชีวิตที่มีความหมายใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูคือทางนั้น! พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นประตูถ้าผู้ใดเข้าไปทางเรา ผู้นั้นจะรอด และเขาจะเข้าออก แล้วจะพบอาหาร” (ยอห์น 10:9)

ใคร ๆ ทุกคนมีแต่ทำให้คุณผิดหวังใช่หรือไม่? ความสัมพันธ์ของคุณกับคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าเป็นไปอย่างผิวเผินและว่างเปล่าไหม? ดูเหมือนว่า ใคร ๆ ก็พยายามจะฉวยโอกาสกับคุณไหม? หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูคืิอทางนั้น! พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ….เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี และเรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา” (ยอห์น 10:11, 14)

คุณเคยสงสัยไหมว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร? คุณเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยหรือผุพังไปหรือไม่? บางครั้งคุณเคยสงสัยไหมว่าชีวิตมีความหมายอย่างอื่นอีกไหม? คุณอยากมีชีวิตหลังความตายไหม? หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่เชื่อในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก และผู้ใดที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม" (ยอห์น 11:25-26)

ทางนั้นคืออะไร? ความจริงคืออะไร? ชีวิตคืออะไร? พระเยซูทรงตอบว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา" (ยอห์น 14:6)

ความหิวที่คุณสัมผัสอยู่นั้นคือความหิวฝ่ายวิญญาณ และผู้ที่จะทำให้คุณอิ่มได้ก็คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์คือผู้ที่สามารถนำความมืดออกไปได้ พระเยซูคือประตูสู่ชีวิตที่อิ่มหนำสำราญ พระเยซูคือสหายและผู้เลี้ยงที่คุณแสวงหา พระเยซูคือชีวิตทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พระเยซูคือทางไปสู่ความรอดจากบาป!

เหตุผลที่คุณรู้สึกหิว เหตุผลที่คุณรู้สึกว่าคุณหลงอยู่ในความมืด เหตุผลที่คุณไม่สามารถพบความหมายในชีวิตได้ คือ คุณถูกแยกออกจากพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าเราทุกคนทำบาป ดังนั้นเราจึงถูกแยกออกจากพระเจ้า (ปัญญาจารย์ 7:20; โรม 3:23) ความว่างเปล่าที่คุณสัมผัสอยู่ในใจ คือ การไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิต เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีความสัมพันธ์ฺกับพระเจ้า แต่เนื่องจากความบาปของเรา เราจึงถูกแยกออกจากความสัมพันธ์นั้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ความบาปของเราจะทำให้เราถูกแยกออกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์

ปัญหานี้จะแก้ไขได้อย่างไร? พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูทรงรับความบาปของเราไปไว้ที่พระองค์ (2 โครินธ์ 5:11) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แทนเรา (โรม 5:8) ทรงรับการลงโทษแทนเรา สามวันหลังจากนั้นทรงฟื้นคืนพระชนม์ อันนำมาซึ่งชัยชนะเหนือความบาปและความตาย (โรม 6:4-5) พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่ออะไร? พระเยซูทรงตอบคำถามนั้นด้วยพระองค์เอง “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยอห์น 15:13) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อที่เราจะได้มีชีวิต หากเรามอบความเชื่อไว้ที่พระองค์ วางใจว่าการสิ้นพระชนม์คือการไถ่บาปให้กับเรา ซึ่งหมายความว่าความบาปทั้งสิ้นของเราได้รับการยกโทษและถูกชำระไปจนหมดสิ้นแล้ว ความหิวฝ่ายวิญญาณของเราก็จะกลายเป็นความอิ่มบริบูรณ์ แสงสว่างจะถูกเปิดออกมา เราก็จะเห็นทางที่นำไปสู่ชีวิตเต็มบริบูรณ์ แล้วเราก็จะได้รู้จักกับพระสหายและพระผู้เลี้ยงที่ดีที่แท้จริง แล้วเราก็จะได้รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หลังความตายซึ่งเป็นชีวิตที่ฟื้นกลับมาใหม่ในสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร์กับพระเยซู!

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 13:6)

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




แผนการสำหรับความรอดคืออะไร?

อะไรคือศาสนาที่แท้จริงสำหรับฉัน?




คำถาม: อะไรคือศาสนาที่แท้จริงสำหรับฉัน?

คำตอบ:
ร้านอาหารจานด่วนยั่วใจเราด้วยการเปิดโอกาสให้เราเลือกสั่งอาหารตามที่เราต้องการได้ ร้านกาแฟบางแห่งโฆษณาว่าร้านของตนมีกาแฟรสชาดหลากหลายนับร้อย แ้ม้กระทั่งในการซื้อบ้านหรือรถ เราสามารถเลือกแบบ เลือกของตกแต่งได้ตามใจชอบ เราไม่ได้อยู่ในโลกของข้าวผัด ข้าวแกง รสชาดเดิม ๆ อีกต่อไปแล้ว การมีทุกอย่างให้เลือกได้ตามใจชอบคือความอลังการ! คุณสามารถมีสิ่งที่คุณต้องการได้เกือบหมดทุกอย่าง

แล้วศาสนาอะไรคือศาสนาที่แท้จริงสำหรับคุณเล่า? ศาสนาที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกผิด ศาสนาที่ไม่มีการเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีคำสั่งว่า ทำได้ หรือ ทำไม่ได้ ที่น่าเบื่อหน่ายจะดีไหม? มีศาสนาต่าง ๆ ให้คุณเลือกได้อย่างที่ได้พูดไปแล้วนั่นแหละ แต่ศาสนาคืออะไรบางอย่างที่มีอยู่ให้คุณเลือกเหมือนเลือกข้าวแกงอย่างนั้นหรือ?

มีเสียงหลายเสียงที่เรียกร้องความสนใจของเรา แล้วทำไมเราจึงควรเลือกฟ้งเสียงของพระเยซู แทนที่จะเลือกพระโมฮัมหมัด หรือ ขงจื้อ หรือ พระพุทธเจ้า หรือ ศาสดาอื่น ๆ เล่า? ไม่ว่าถนนสายไหนก็นำเราไปสวรรค์ได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ? ศาสนาทุกศาสนาก็เหมือนกันหมด ไม่ใช่หรือ? ความจริงก็คือ ศาสนาทุกศาสนาไม่สามารถนำเราไปถึงสวรรค์ได้ ก็เหมือนกับความจริงที่ว่า ไม่ใช่ว่าถนนทุกสายจะนำเราไปถึงภูเก็ตได้

มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่ตรัสด้วยสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า เพราะพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสามารถเอาชนะความตายได้ พระโมฮัมหมัด ขงจื้อ และ ศาสดาองค์อื่น ๆ ยังคงล่วงลับไปตราบเท่าทุกวันนี้ แต่พระเยซูทรงเดินออกมาจากอุโมงค์ด้วยฤทธิอำนาจของพระองค์ สามวันหลังจากที่ได้สิ้นพระชนม์บนกางเขนที่โหดร้ายของชาวโรมัน ใครก็ตามที่มีอำนาจเหนือความตายสมควรที่จะได้รับความสนใจจากเรา ใครก็ตามที่มีอำนาจเหนือความตายสมควรที่เราจะฟังเขา

พยานหลักฐานที่สนับสนุนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูมีมากมาย ประการแรก มีคนมากกว่าห้าร้อยคนเห็นพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมากับตา! เมื่อมีเสียงยืนยันตั้งห้าร้อยเสียงเช่นนี้เราไม่ควรไม่สนใจ แล้วยังมีอุโมงค์ที่ว่างเปล่าอีก ศัตรูของพระเยซูสามารถทำให้การพูดเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์หยุดลงได้ง่ายนิดเดียว โดยการนำพระกายที่เน่าเปื่อยออกมาให้คนเห็น แต่มันไม่มีพระศพของพระองค์ให้พวกเขานำมาแสดง! อุโมงค์ของพระองค์ว่างเปล่า! เป็นไปได้ไหมทึ่สาวกของพระองค์จะมาขโมยพระศพไป? คงยาก เพราะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น อุโมงค์ของพระเยซูจึงมีทหารที่มีอาวุธพร้อมเฝ้าอยู่อย่างหนาแน่น ลองคิดดูว่า แม้แต่บรรดาสาวกที่ใกล้ชิดพระองค์ยังต้องแยกย้ายหนีกันไปด้วยความกลัว หลังจากที่พระองค์ทรงถูกจับกุมและถูกตรึงที่กางเขนแล้ว การที่ชาวประมงค์โทรม ๆ ที่เต็มไปด้วยความกลัว จะกล้าหาญเข้ามารวมตัวกันต่อสู้ทหารมืออาชีพที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีย่อมเป็นไปไม่ได้ ความจริงอย่างง่าย ๆ คือ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูไม่สามารถจะถูกเพิกเฉยได้!

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจเหนือความตามสมควรที่จะได้รับการฟ้ง พระเยซูทรงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความตาย ดังนั้น เราจำเป็นที่ีจะต้องฟ้งว่าพระองค์จะตรัสอะไร พระองค์ทรงประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นทางเดียวที่สามารถนำเราไปสู่ความรอดจากบาปได้ (ยอห์น 14:6) พระองค์ไม่ใช่ทางอะไรทางหนึ่ง พระองค์ไม่ใช่หนึ่งในหลาย ๆ ทาง แต่พระเยซูทรงเป็นทางนั้น

พระเยซูทรงเป็น “ศาสนาที่แท้จริง” หากคุณกำลังมองหาการให้อภัยจากบาป (กิจการ 10:43) พระเยซูทรงเป็น “ศาสนาที่แท้จริง” หากคุณกำลังมองหาความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับพระเจ้า (ยอห์น 10:10) จงวางความเชื่อของคุณลงบนพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจ! จงวางใจในพระองค์สำหรับการให้อภัยบาปของคุณ แล้วคุณจะไม่มีวันผิดหวัง!

หากคุณต้องการจะมี “ความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง” กับพระเจ้า นี่เป็นคำอธิษฐานง่าย ๆ สำหรับคุณ หากคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของคุณ จงอธิษฐานดังนี้กับพระเจ้า แต่จงจำไว้ว่า การอธิษฐานด้วยถ้อยคำเหล่านี้หรือถ้อยคำอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณรอดจากความบาป การเชื่อและวางใจในพระคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้คุณรอดได้ คำอธิษฐานนี้เป็นเพียงแต่วิธีง่าย ๆ ในการแสดงออกต่อพระเจ้าว่าคุณเชื่อในพระองค์ และเป็นการขอบคุณพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมความรอดไว้ให้คุณ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์ได้กระทำผิดบาปต่อพระองค์และสมควรที่จะได้รับโทษ แต่พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษที่ข้าพระองค์สมควรจะได้รับแทนข้าพระองค์ไปแล้ว เพื่อว่า โดยความเชื่อในพระองค์ข้าพระองค์จะได้รับการยกโทษ ข้าพระองค์ขอหันหลังให้กับความบาปของข้าพระองค์ และขอวางใจในพระองค์สำหรับความรอดพ้นจากความบาป ขอบคุณพระองค์สำหรับพระคุณและการให้อภัยบาปอันแสนอัศจรรย์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์จากพระองค์! ขออธิษฐานในนามขององค์พระเยซูคริสต์ อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




อะไรคือศาสนาที่แท้จริงสำหรับฉัน?

ถนนสู่ความรอดสายโรมคืออะไร?




คำถาม: ถนนสู่ความรอดสายโรมคืออะไร?

คำตอบ:
ถนนสู่ความรอดสายโรมคือการแบ่งปันพระกิตติคุณแห่งความรอดด้วยการใช้ข้อพระคัมภีร์จากหนังสือโรมในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ แต่มีพลังในการอธิบายว่าทำไมเราจึงต้องได้รับความรอด พระเจ้่าทรงจัดเตรียมความรอดไว้ให้เราอย่างไรา เราจะรับความรอดได้อย่างไร และ ผลของความรอดคืออะไร

ข้อพระคัมภีร์ข้อแรกบนถนนสู่ความรอดสายโรมคือ ข้อพระธรรมโรม 3:23 “เหตุว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากสง่าราศีของพระเจ้า” เราทุกคนทำบาป เราทุกคนเคยทำหลายอย่างที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ไมีมีใครสักคนที่ไม่เคยทำบาป ข้อพระธรรมโรม 3:10-18 บอกรายละเอียดว่าความบาปหน้าตาเป็นอย่างไรในชีวิตเรา ข้อพระคัมภีร์ข้อที่สองบนถนนสู่ความรอดสายโรม คือ ขัอพระธรรมโรม 6:23 ซึ่งสอนเราเกี่ยวกับผลของความบาป “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” โทษของความบาปของเราคือความตาย มันไม่ใช่แค่ความตายตามปกติเท่านั้น แต่เป็นความตายนิรันดร์

ข้อพระคัมภีร์ข้อที่สามบนถนนสู่ความรอดสายโรม สานต่อเมื่อข้อพระธรรมโรม 6:23 จบลงด้วยคำพูดที่ว่า “แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” พระธรรมโรม 5:8 กล่าวว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” พระเยซูคริสต์ฺสิ้นพระชนม์เพื่อเรา! การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นการไถ่บาปให้กับเรา การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูไว้เพื่อเป็นการไถ่บาปให้กับเรา

ป้ายที่สี่บนถนนสู่ความรอดสายโรมคือข้อพระคัมภีร์โรม 10:9 “คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด” อันเนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแทพวกเเรา ทั้งหมดที่เราต้องทำ คือ เชื่อในพระองค์ วางใจว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นการไถ่บาปให้กับเรา และเรารอดพ้นจากความบาปแล้ว! ข้อพระคัมภีร์โรม 10:13 กล่าวซ้ำว่า “เพราะว่า `ผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด' ” พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่โทษแห่งความบาปแทนเรา และ ทรงช่วยให้เรารอดพ้นจากการตายนิรันดร์ ความรอด การให้อภัยบาป เป็นของทุกคนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด

มุมมองสุดท้ายบนถนนสู่ความรอดสายโรม คือ ผลของความรอด ข้อพระคัมภีร์โรม 5:1 กล่าวไว้อย่างอัศจรรย์ว่า “เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” โดยทางพระเยซูคริสต์ เราสามารถมีความสัมพันธ์แห่งสันติสุขกับพระเจ้าได้ ข้อพระคำภีร์โรม 8:1 สอนเราว่า “เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” ดังนั้น โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแทนเรา จึงไม่มีการปรับโทษสำหรับเราอีกต่อไป ท้ายที่สุด เรามีพระสัญญาอันทรงคุณค่าของพระเจ้าจากข้อพระคัมภีร์โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

คุณอยากเดินไปตามถนนแห่งความรอดสายโรมไหม? หากต้องการ นี่เป็นคำอธิษฐานง่าย ๆ ที่คุณสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ การอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานนี้ เป็นการบอกกับพระเจ้าว่าคุณวางใจในพระองค์สำหรับความรอดของคุณ แตถ้อยคำในคำอธิษฐานโดยตัวของมันเองไม่ได้ช่วยให้คุณรอดจากความบาปได้ การวางใจในพระคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้คุณรอดได้ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์ได้กระทำผิดบาปต่อพระองค์และสมควรที่จะได้รับโทษ แต่พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษที่ข้่าพระองค์สมควรจะได้รับแทนข้าพระองค์ไปแล้ว เพื่อว่า โดยความเชื่อในพระองค์ข้าพระองค์จะได้รับการยกโทษ โดยความช่วยเหลือของพระองค์ ข้าพระองค์ขอหันหลังให้กับความบาปของข้าพระองค์ และขอวางใจในพระองค์สำหรับความรอดพ้นจากความบาป ขอบคุณพระองค์สำหรับพระคุณและการให้อภัยบาปอันแสนอัศจรรย์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์จากพระองค์! ขออธิษฐานในนามขององค์พระเยซูคริสต์ อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




ถนนสู่ความรอดสายโรมคืออะไร?

คำอธิษฐานของคนบาปคืออะไร?




คำถาม: คำอธิษฐานของคนบาปคืออะไร?

คำตอบ:
คำอธิษฐานของคนบาป คือ คำอธิษฐานที่คนเราอธิษฐานกับพระเจ้าเมื่อเขาเข้าใจแล้วว่าเขาเป็นคนบาปและต้องการพระผู้ช่วยให้รอด การกล่าวคำอธิษฐานของคนบาปเฉย ๆ ไม่ได้เกิดผลอะไรโดยตัวของมันเอง คำอธิษฐานของคนบาปจะเกิดผลก็ต่อเมื่อผู้อธิษฐานรู้ เข้าใจ และเชื่อเกี่ยวกับความบาป และความจำเป็นของการไถ่บาปอย่างแท้จริง

มุมมองแรกของการกล่าวคำอธิษฐานของคนบาป คือ การเข้าใจว่าเราทุกคนเป็นคนบาป ข้อพระธรรมโรม 3:10 กล่าวว่า “ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย” พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าเราทุกคนเป็นคนบาป เราทุกคนเป็นคนบาปและต้องการพระเมตตาและการให้อภัยบาปจากพระเจ้า (ทิตัส 3:5-7) เพราะความบาปของเรา เราสมควรที่จะได้รับการลงโทษชั่วนิรันดร์ (มัทธิว 25:46) คำอธิษฐานของคนบาป คือ การร้องขอพระคุณ แทนการลงโทษ ซึ่งเป็นการขอความเมตตา แทนความโกรธ

มุมมองที่สองของคำอธิษฐานของคนบาป คือ การที่ได้รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำอะไรลงไปเพื่อเยียวยาให้เราหายจากความหลงหายและความบาปของเรา พระเจ้าได้ทรงรับสภาพเนื้อหนัง และทรงบังเกิดมาเป็น มนุษย์ ในสภาพขององค์พระเยซูคริสต์ (ยอห์น 1:1, 14) พระเยซูทรงสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าให้กับเรา และทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างชอบธรรมไร้ความบาปโดยสิ้นเชิง (ยอหฺ์น 8:46; 2 โครินธ์ 5:21) หลังจากนั้นพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแทนเรา ทรงรับการลงโทษที่เราสมควรจะได้รับแทนเรา (โรม 5:8) พระเยซูทรงฟื้นจากความตายเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีชัยเหนือความตาย ความบาป และนรก (โครินธ์ 2:15; 1 โครินธ์ บทที่ 15) ด้วยการกระทำทั้งหมดนี้ หากเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราสามารถรับการให้อภัยบาป และรับพระสัญญาว่าเราจะมีที่อยู่บนสวรรค์นิรันดรได้ ทั้งหมดที่เราจะต้องทำคือเชื่อว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แทนเรา และทรงฟื้นคืนพระชนม์ (โรม 10:9-10) เราสามารถรอดได้โดยพระุคุณ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เท่านั้น ข้อพระคัมภีร์เอเฟซัส 2:8 กล่าวว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้”

การกล่าวคำอธิษฐานของคนบาป เป็นการบอกกับพระเจ้าอย่างง่าย ๆ ว่า คุณวางใจในพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีคำ “มายากล” ใด ๆ ที่จะช่วยให้ใครรอดได้ มีแต่ความเชื่อในการสิ้นพระชนม์ และ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเท่านั้น ที่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากความบาปได้ หากคุณเข้าใจแล้วว่าคุณเป็นคนบาป และต้องการความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์ คุณสามารถอธิษฐานด้วยถ้อยคำเหล่านี้กับพระเจ้าได้ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์สมควรที่จะได้ร้บผลแห่งความบาป แต่ข้าพระองค์วางใจพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อว่าการสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ช่วยให้ข้าพระองค์ได้รับการอภัย ข้าพระองค์วางใจในพระเยซู และเชื่อว่าทรงเป็นพระเจ้าและ พระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของข้าพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด และทรงยกโทษบาปให้ข้าพระองค์! ขออธิษฐานในนามขององค์พระเยซูคริสต์ อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




คำอธิษฐานของคนบาปคืออะไร?

การเป็นคริสเตียนคืออะไร?




คำถาม: การเป็นคริสเตียนคืออะไร?

คำตอบ:
พจนานุกรมฉบับเวบสเตอร์ได้ให้คำจำกัดความของคำว่าคริสเตียน ว่า “คนที่แสดงความเชื่อในพระเยซูว่าทรงเป็นพระคริสต์ หรือในศาสนาที่มีคำสอนของพระเยซูเป็นหลัก” คำว่าคริสเตียนถูกนำมาใช้สามครั้งในพันธสัญญาใหม่ (กิจการ 11:26; กิจการ 26:28; 1 เปโตร 4:16) ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ถูกเรียกเป็นครั้งแรกว่าเป็น “คริสเตียน” ในเมืองอันทิโอก (กิจการ 11:26) ทั้งนี้เพราะความประพฤติ, การกระทำ และ คำพูด ของพวกเขาเหมือนพระคริสต์ เดิมทีมันถูกนำมาใช้โดยผู้ที่ยังไม่ได้รับความรอดที่เมืองอันทิโอก เหมือนกับเป็นชื่อเล่นแบบดูถูก เสมือนคริสเตียนเป็นตัวตลก ความหมายที่แท้จริงของมันคือ “เป็นหนึ่งในคณะของพระคริสต์” หรือ “ผู้ติดตามหรือสาวกของพระคริสต์” ซึ่งคล้ายกันมากกับคำจำกัดความในพจนานุกรมฉบับเวบสเตอร์

เป็นที่น่าเสียดายว่าเมื่อเวลาผ่านไป คำว่า “คริสเตียน” ได้สูญเสียความหมายสำคัญไป และ คำว่าคริสเตียนได้ถูกนำมาใช้เรียกคนที่เคร่งศาสนา หรือ มีคุณธรรมสูง แทนที่จะใช้เรียกผู้ที่บังเกิดใหม่ที่ติดตามพระคริสต์ มีหลายคนที่ไม่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ แต่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน เพราะแค่ไปโบสถ์และอยู่ในประเทศที่เป็น “คริสเตียน” เท่านั้น แต่การไปโบสถ์, การปรนนิบัติผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเรา, หรือการเป็นคนดี ไม่ได้ทำให้คุณเป็นคริสเตียนได้ ดังที่ครั้งหนึ่งผู้ประกาศข่าวประเสริฐคนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า “การไปโบสถ์ไม่ได้ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นคริสเตียนได้ พอ ๆ กับการไปโรงรถ ไม่ได้ทำให้คน ๆ นั้นเป็นรถได้” การไปฟ้งคำเทศนาเป็นประจำ และการร่วมกิจกรรมของคริสตจักร ไม่สามารถทำให้คุณเป็นคริสเตียนได้

พระคัมภีร์สอนว่าการทำการดีไม่ได้ทำให้เราเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า ข้อพระคัมีภีร์ทิตัส 3:5 บอกเราว่า “พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ดัีงนั้น คริสเตียน คือ คนที่บังเกิดใหม่โดยพระเจ้า (ยอห์น 3:3; ยอห์น 3:7; 1 เปโตร 1:23) ข้อพระคัมภีร์เอเฟซัส 2:8 บอกเราว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้” คนที่เป็นคริสเตียนแท้ คือ คนที่กลับใจใหม่และหันหลังให้กับความบาปของตนเอง และวางความเชื่อและความวางใจไว้ที่พระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ความวางใจของเขาไม่ได้อยู่ที่การนับถือศาสนา หรือการมีข้อหลักปฏิบัติ หรือ สิ่งที่ทำได้ ทำไม่ได้ ซึ่งมีรายการบอกไว้เป็นชุด ๆ

คนที่เป็นคริสเตียนแท้ คือ คนที่วางใจและเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และ เชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับเรา และทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่สาม เพื่อทรงรับชัยชนะเหนือความตาย และทรงประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ข้อพระคัมภีร์ยอห์น 1:12 บอกเราว่า “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานอำนาจให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์” คริสเตียนแท้คือลูกของพระเจ้าโดยแท้จริง เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้าที่แท้จริง และเป็นผู้ที่ได้รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ตราประทับของคริสเตียนแท้ คือ ความรักที่มีต่อผู้อื่น และ การเชื่อฟ้งพระวจนะของพระเจ้า (1 ยอห์น 2:4; 1 ยอห์น 2:10).

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




การเป็นคริสเตียนคืออะไร?

การบังเกิดใหม่ในชีวิตคริสเตียนหมายความว่าอย่างไร?




คำถาม: การบังเกิดใหม่ในชีวิตคริสเตียนหมายความว่าอย่างไร?

คำตอบ:
การบังเกิดใหม่ในชีวิตคริสเตียนหมายความว่าอย่างไร?..ประโยคคลาสสิคในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นคำตอบของคำถามนี้อยู่ใน พระธรรม ยอห์น 3:1-21 พระเยซูคริสต์ทรงได้สนทนากับนิโคเดมัส ท่านเป็นฟาริสีและเป็นขุนนางของพวกยิว ซึ่งนิโคเดมัสได้เข้าเฝ้าพระเยซูในเวลากลางคืน แล้วได้ตั้งคำถามนี้กับพระเยซู

เมื่อพระเยซูทรงสนทนากับนิโคเดมัส พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่*ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้" นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า "คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ" พระเยซูตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่.” (ยอห์น 3:3-7)

คำว่า “ บังเกิดใหม่ ” แปลตามตัวแล้ว หมายความว่า “ บังเกิดจากเบื้องบน ”..นิโคเดมัสได้มีความต้องการอย่างแท้จริง เขาต้องการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขา - นั่นคือการเปลี่ยนแปลงฝ่ายจิตวิญญาณ การบังเกิดใหม่ คือการกระทำของพระเจ้าเพื่อให้ชีวิตนิรันดร์แก่ผู้ที่เชื่อทุกคน (2 โครินธ์ 5:17, ทิตัส 3:5, 1 เปโตร 1:3, 1 ยอห์น 2:29; 3:9; 4:7; 5:1-4, 18) และใน พระธรรม ยอห์น 1:12,13 เขียนไว้ว่า “ บังเกิดใหม่ ” ยังหมายถึง “ การได้เป็นบุตรของพระเจ้า ” โดยทางความเชื่อในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์

คำถามต่อมามีอยู่ว่า “ ทำไมคนเราจึงจำเป็นต้องบังเกิดใหม่อีกครั้ง? ”..อัครทูตเปาโลได้กล่าวไว้ใน พระธรรม เอเฟซัส 2:1 ว่า “ ท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป...” และจดหมายที่ท่านอัครทูตเขียนถึงชาวโรมในพระธรรมโรม 3:23 ว่า “ เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ” ดังนั้น คนเราจึงจำต้องบังเกิดใหม่อีกครั้ง เพื่อบาปของพวกเขาจะได้รับการอภัย และมีสายสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้าอีกครั้ง…

แล้วการบังเกิดใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ใน พระธรรมเอเฟซัส 2:8 ,9 เขียนไว้ว่า“ ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้น

จะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ ” เมื่อผู้หนึ่งได้รับ “ ความรอด ” เขา/เธอก็จะบังเกิดใหม่ จิตวิญญาณได้รับสถานะภาพใหม่และได้เป็นบุตรของพระเจ้าโดยชอบธรรมทางการบังเกิดใหม่นี้..และ การที่ได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งได้ทรงยอมรับโทษความบาปของเราโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น เป็นการเริ่มต้น“บังเกิดใหม่” ในฝ่ายจิตวิญญาณ “ เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว...” (2 โครินธ์ 5:17)

หากคุณยังไม่ได้วางใจในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดมาก่อน คุณเคยลองใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสกับจิตใจของคุณหรือไม่ว่า…? คุณจำเป็นต้องบังเกิดใหม่ คุณพร้อมอธิษฐานสารภาพบาปและเป็นคนใหม่ในพระคริสต์วันนี้หรือไม่? “ แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า ” (ยอห์น 1:12-13)

ถ้าคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ และต้องการบังเกิดใหม่ นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า.. การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด) มีเพียงความเชื่อและได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ช่วยคุณให้ได้รับความรอดจากโทษของบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่จะมีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงนำคุณให้พ้นจากอำนาจของบาป… “ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำผิดบาปต่อน้ำพระทัยที่ดีของพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการลงโทษนั้นๆ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงยอมรับโทษบาปนั้นไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการอภัยโทษ โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจให้กับพระองค์ทรงนำชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากบาปทั้งปวงด้วย ขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญในชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า .. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




การบังเกิดใหม่ในชีวิตคริสเตียนหมายความว่าอย่างไร?

บัญญัติฝ่ายจิตวิญญาณ 4 ประการมีอะไรบ้าง?




คำถาม: บัญญัติฝ่ายจิตวิญญาณ 4 ประการมีอะไรบ้าง?

คำตอบ:
บัญญัติฝ่ายจิตวิญญาณ 4 ประการ คือวิธีการแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องความรอดที่เราได้รับมาโดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์และเป็นวิธีการง่ายๆที่จะนำเสนอหัวข้อหลักเรื่องข่าวประเสริฐเป็น 4 ประการด้วยกันคือ.

บัญญัติประการแรกคือ “พระเจ้ารักคุณ และพระองค์ทรงมีแผนการอันวิเศษสำหรับชีวิตคุณ” BB. ยอห์น 3:16 เขียนไว้ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ใน พระธรรม ยอห์น 10:10 บอกถึงเหตุผลที่พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”..แล้วอะไรเป็นอุปสรรคกั้นขวางเราจากความรักของพระเจ้า?แล้ว อะไรเป็นสิ่งปิดกั้นเราจากชีวิตอันบริบูรณ์?

บัญญัติประการที่สองคือ “มนุษย์มีมลทินเพราะความบาป ดังนั้นมนุษย์จึงถูกแยกออกจากพระเจ้า เราจึงไม่สามารถทราบถึงแผนการอันวิเศษยิ่งของพระเจ้าซึ่งมีต่อชีวิตเราได้” ซึ่งใน พระธรรม โรม 3:23 ได้ยืนยันถึงคำกล่าวนี้ “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” จาก พระธรรม โรม 6:23 ได้บอกถึงผลของความบาปไว้ว่า “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย” พระเจ้าทรงสร้างเราเพื่อให้สามัคคีธรรมกับพระองค์ มนุษย์นำบาปมาสู่โลก ดังนั้นมนุษย์จึงถูกแยกจากพระเจ้า เราได้ทำลายสายสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะมีกับพวกเรา ..แล้ววิธีแก้ไขทำอย่างไร?

บัญญัติประการที่สามคือ “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นจากพระเจ้าที่จะชำระบาปเราได้” โดยทางพระเยซูคริสต์ บาปของเราจึงได้รับการอภัย และความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าจะกลับมาคืนดีดังเดิม ใน พระธรรม โรม 5:8 ได้บอกเราว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” ใน พระธรรม 1 โครินธ์ 15:3-4 ได้บอกเราถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องทราบและเชื่อ เพื่อจะได้รับความรอดว่า “...พระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สาม พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น...” พระเยซูทรงประกาศด้วยพระองค์เองใน พระธรรม ยอห์น 14:6 ว่า พระองค์ทรงเป็นทางแห่งความรอดเพียงทางเดียว “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ..ฉันจะได้รับความรอดซึ่งเป็นของประทานอันวิเศษนี้ได้อย่างไร?

บัญญัติประการที่สี่คือ “เราจะต้องเชื่อและไว้วางใจในองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อเราจะได้รับของประทานแห่งความรอด และได้ทราบถึงแผนการของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา” ใน พระธรรม ยอห์น 1:12 ได้อธิบายเรื่องนี้แก่เราว่า “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า” ใน พระธรรม กิจการ 16:31 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย!" เราได้รับความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ และในพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น ( เอเฟซัส 2:8-9)

ถ้าคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า.. การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด)

มีเพียงความเชื่อและได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ช่วยคุณให้ได้รับความรอดจากโทษของบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่จะมีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงนำคุณให้พ้นจากอำนาจของบาป… “ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำผิดบาปต่อน้ำพระทัยที่ดีของพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการลงโทษนั้นๆ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงยอมรับโทษบาปนั้นไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการอภัยโทษ โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจให้กับพระองค์ในการนำชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากบาปทั้งปวงด้วย ขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า .. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




บัญญัติฝ่ายจิตวิญญาณ 4 ประการมีอะไรบ้าง?

ฉันจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร?




คำถาม: ฉันจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร?

คำตอบ:
ในการ “ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า” นั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่า.. อะไรเป็นสิ่งที่พระเจ้า “ ไม่ทรงพอพระทัย ” คำตอบก็คือ ความบาป “ ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย” (สดุดี 14:3) เราได้กบฏต่อพระบัญญัติของพระองค์ “เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ” (อิสยาห์ 53:6)

ข่าวร้ายก็คือ โทษของความบาปคือความตาย “...ชีวิตใดทำบาปก็จะตาย” (เอเสเคียล 18:4) ข่าวดีก็คือ พระเจ้าแห่งความรักทรงตามเรากลับมา และไถ่เราให้รอดจากบาป พระเยซูทรงประกาศถึงพระประสงค์ของพระองค์ว่า พระองค์มาเพื่อ “เที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด” (ลูกา 19:10) และพระองค์ทรงประกาศว่าพันธกิจของพระองค์จะเสร็จสมบูรณ์เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนด้วยคำพูดที่ว่า “สำเร็จแล้ว!” (ยอห์น 19:30)

การมีสายสัมพันธ์อย่างถูกต้องกับพระเจ้าเริ่มต้นด้วยการยอมรับในความบาปของคุณ แล้วเข้ามาสารภาพบาปอย่างถ่อมสุภาพกับพระเจ้า (อิสยาห์ 57:15) และตัดสินใจที่จะละทิ้งความบาปนั้น “...การยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด” (โรม 10:10)

การกลับใจใหม่นั้นต้องมีความเชื่อด้วย โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องการสละพระชนม์ของพระเยซู และการฟื้นขึ้นมาใหม่อย่างอัศจรรย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณอย่างแท้จริง “คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด” (โรม 10:9) มีข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่กล่าวถึงความจำเป็นเรื่องของความเชื่อ เช่นใน พระธรรม ยอห์น 20:27; กิจการ 16:31; กาลาเทีย 2:16; 3:11, 26; เอเฟซัส 2:8

การทำตามน้ำพระทัยพระเจ้านั้น เป็นเรื่องของการตอบสนองต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้คุณ พระองค์ทรงประทานพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ประทานเครื่องบูชาเพื่อรับความบาปผิดไปจากเรา (BB. ยอห์น 1:29) และพระองค์ทรงให้พันธสัญญาว่า “ทุกคนซึ่งได้ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด” (BB. กิจการ 2:21)

ภาพอันสวยงามที่บรรยายถึงเรื่องของการกลับใจและการยกโทษ เปรียบได้กับเรื่องบุตรชายที่หลงหายไปแล้วกลับใจใหม่ (พระธรรม ลูกา 15:11-32) บุตรคนเล็กนั้นได้ผลาญทรัพย์สมบัติที่พ่อให้มาด้วยความบาปที่น่าละอาย (ข้อ 13) และเมื่อเขาสำนึกผิดในสิ่งที่เขาทำไปลง เราก็ตัดสินใจกลับมาบ้าน (ข้อ 18) เขาคิดว่าเขาไม่สมควรจะเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป (ข้อ 19) แต่เขาคิดผิด พ่อเขากลับรักลูกที่กลับใจใหม่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก (ข้อ 20) ทุกสิ่งที่ลูกทำลงไปได้รับการอภัยหมดทั้งสิ้น และเขาก็จัดงานเลี้ยงฉลองกันขึ้น (ข้อ 24) พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาของพระองค์ รวมถึงพระสัญญาที่จะยกโทษให้ “พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกช้ำ และทรงช่วยผู้ที่จิตใจสำนึกผิด” (สดุดี 34:18)

ถ้าคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ และต้องการบังเกิดใหม่ นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า.. การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด) มีเพียงความเชื่อและได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ช่วยคุณให้ได้รับความรอดจากโทษของบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่จะมีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงนำคุณให้พ้นจากอำนาจของบาป… “ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำผิดบาปต่อน้ำพระทัยที่ดีของพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการลงโทษนั้นๆ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงยอมรับโทษบาปนั้นไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการอภัยโทษ โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระคริสต์ ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจให้กับพระองค์ในการนำชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากบาปทั้งปวงด้วย ขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า.. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




ฉันจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร?

พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?




คำถาม: พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?

คำตอบ:
“ ฉันเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ” “ โอเค ถึงแม้ฉันจะทำเรื่องไม่ดีบ้าง แต่ฉันก็ทำความดีมากกว่า ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ” “ พระเจ้าไม่ส่งฉันไปลงนรก เพียงเพราะฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบพระคัมภีร์หรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว!” “ เฉพาะคนที่เลวจริง ๆ อย่างคนที่ข่มขืนเด็ก และพวกฆาตกรเท่านั้นแหละ ที่จะต้องลงนรก ”

สิ่งข้างต้นนี้ คือคำกล่าวอ้างที่คนส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องการไปสวรรค์ แต่ความเป็นจริงก็คือ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความเท็จ ซาตานซึ่งเป็นผู้ครองโลกได้ฝังความคิดเหล่านี้ไว้ในหัวพวกเรา ซาตานและผู้ใดก็ตามที่เดินตามมัน คือศัตรูพระเจ้า ในพระธรรม (1 เปโตร 5:8) ซาตานมักปลอมตัวเป็นคนดีอยู่เสมอ ในพระธรรม ( 2 โครินธ์ 11:14) แต่มันควบคุมทุกความคิดที่ไม่ใช่ของพระเจ้า “ ซาตาน ซึ่งเป็นพระของโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ ได้ปิดบังจิตใจของผู้ที่ไม่เชื่อให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า”ในพระธรรม (2 โครินธ์ 4:4)เป็นเรื่องโกหกที่ว่า พระเจ้าไม่สนใจกับความบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ และนรกนั้นมีไว้สำหรับ “คนเลว” เท่านั้น บาปทุกชนิดเป็นตัวกั้นเราออกจากพระเจ้า แม้กระทั่ง “การโกหกด้วยความบริสุทธิ์ใจ” มนุษย์ทุกคนล้วนมีบาป และไม่มีใครดีพอที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ด้วยตัวเองได้ ในพระธรรม (โรม 3:23) การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ “แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า ก็หาได้เป็นเพราะทางการประพฤติไม่ ถ้าเป็นทางการประพฤติ พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป – ได้มาเปล่า ๆ และได้แม้กระทั่งเราไม่สมควรที่จะได้รับ”ในพระธรรม (โรม 11:6) เราไม่สามารถจะทำการดีเพื่อจะเป็นทางไปสวรรค์เองได้ ในพระธรรม (ทิตัส 3:5)

“จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” ในพระธรรม ( มัทธิว 7:13) ถึงแม้ว่าทุกคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ในความบาป และการเชื่อและวางใจในพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นปฏิบัติกัน พระเจ้าก็จะไม่ทรงยอมให้กับข้ออ้างนี้เด็ดขาด “ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง” ในพระธรรม (เอเฟซัส 2:2)

เมื่อพระเจ้าสร้างโลกนั้น โลกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนดีทั้งสิ้น ต่อมาพระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา และให้อิสระแก่พวกเขา ดังนั้น เขาจึงเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตตาม และเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ แต่อาดัม และเอวามนุษย์คู่แรกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้รับการล่อลวงโดยซาตานให้ขัดคำสั่งพระเจ้า พวกเขาจึงมีความบาปซึ่งเป็นตัวแยกเขา (รวมถึงทุกคนที่เกิดมาหลังจากนั้น และพวกเราด้วยเช่นกัน) ออกจากสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และไม่สามารถอยู่ท่ามกลางความบาปได้ ในฐานะที่เราเป็นคนบาป เราไม่สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยวิถีทางของเราเอง ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงให้มีหนทางหนึ่งขึ้น เพื่อที่เราจะได้กลับมาคืนดีกลับพระองค์ในสวรรค์ได้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์”ในพระธรรม (ยอห์น 3:16) “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตายแต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ในพระธรรม (โรม 6:23) พระเยซูทรงบังเกิดมาในโลกนี้ เพื่อพระองค์จะได้สอนพวกเราถึงทางรอดนั้น และมาตายเพื่อบาปของเรา เพื่อเราจะไม่ต้องตาย และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในพระธรรม (โรม 4:25) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยขนะเหนือความตายของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พระเจ้าและมนุษย์ เพื่อเราจะได้มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ เพียงแค่เรารับเชื่อ

“และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” ในพระธรรม (ยอห์น 17:3) คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้า แม้แต่ซาตานก็ยังเชื่อ แต่การจะได้รับความรอดนั้น เราต้องหันเข้าหาพระองค์ และสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัว หันหลังให้กับความบาป และติดตามพระองค์ เราจะต้องเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูในทุกสิ่งที่เรามี และทุกสิ่งที่เรากระทำ “คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน” ในพระธรรม (โรม 3:22) พระคัมภีร์สอนไว้ว่า ไม่มีทางรอดอื่นใดนอกจากทางพระคริสต์ พระเยซูตรัสไว้ในพระธรรม ยอห์น 14:6 ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”

พระเยซูทรงเป็นทางรอดเพียงทางเดียว เพราะพระองค์คือผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถชดใช้โทษจากบาปของเราได้ (โรม 6:23) ไม่มีศาสนาใดสอนถึงความบาป และผลของความบาปอย่างลึกซึ้ง ไม่มีศาสนาใดเสนอวิธีชดใช้ความบาปเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์จะทรงให้เราได้ ไม่มี “ศาสดา” ท่านใดมาจุติเป็นมนุษย์ (ยอห์น 1:1,14) ซึ่งเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่หนี้แห่งความบาปจะได้รับการชดใช้ พระเยซูต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้น เพื่อพระองค์จะสามารถชดใช้บาปของเราได้ และพระองค์ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เพื่อพระองค์จะได้ตาย ความรอดมีเพียงทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น! “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” ในพระธรรม (กิจการ 4:12)

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?

จะทราบได้อย่างไรว่า ฉันจะได้ไปสวรรค์หลังตายแล้วอย่างแน่นอน?




คำถาม: จะทราบได้อย่างไรว่า ฉันจะได้ไปสวรรค์หลังตายแล้วอย่างแน่นอน?

คำตอบ:
คุณแน่ใจหรือว่าคุณได้รับชีวิตนิรันดร์ และคุณจะได้ไปสวรรค์หลังจากที่คุณตายแล้ว? พระเจ้าต้องการให้คุณมั่นใจ! พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์” (1 ยอห์น 5:13) สมมติว่าคุณยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าในตอนนี้ และพระองค์ตรัสถามคุณว่า “ทำไมเราจะต้องให้เจ้าเข้าแผ่นดินสวรรค์ด้วย?” คุณจะพูดว่าอย่างไร? คุณอาจจะไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือ...พระเจ้ารักพวกเราและพระองค์ทรงเตรียมหนทางไว้เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะใช้ชีวิตนิรันดร์ที่ใด พระคัมภีร์บอกไว้เช่นนี้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16)

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจถึงปัญหาที่เป็นตัวกีดกั้นเราออกจากแผ่นดินสวรรค์ ปัญหาก็คือ-ธรรมชาติของความบาปเป็นตัวกันเราออกจากสายสัมพันธ์กับพระเจ้า เราเป็นคนบาปโดยธรรมชาติ และโดยทางเลือกของเราเอง “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (BB. โรม 3:23) เราไม่สามารถช่วยตัวเราเองให้รอดได้ “ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” (เอเฟซัส 2:8-9) เราสมควรได้รับความตาย และสมควรตกนรก “ เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย ” (โรม 6:23)

พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และเที่ยงธรรม และพระองค์ต้องลงทัณฑ์ต่อความบาป แต่พระองค์ทรงรักเรา และให้อภัยแก่ความบาปของเรา พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขน “ ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า” (BB. 1 เปโตร 3:18) พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตาย “ คือพระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม” (โรม 4:25)

ดังนั้น กลับมาสู่คำถามในตอนแรก – “จะทราบได้อย่างไรว่า ฉันจะได้ไปสวรรค์หลังตายแล้วอย่างแน่นอน”? คำตอบก็คือ – จงเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า และคุณจะรอด (กิจการ 16:31) “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 1:12) คุณจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญ “แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (โรม 6:23) คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างเต็มที่ และมีความหมายนับจากนี้ไป พระเยซุตรัสว่า “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ ” (ยอห์น 10:10) คุณสามารถใช้ชีวิตนิรันดร์กับพระเยซูในแผ่นดินสวรรค์ ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย” (ยอห์น 14:3)

ถ้าคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ รับการอภัยโทษจากพระเจ้า นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า.. การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด) มีเพียงความเชื่อและได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ช่วยคุณให้ได้รับความรอดจากโทษของความบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่มีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงนำคุณให้พ้นจากอำนาจของความบาป… “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำผิดบาปต่อน้ำพระทัยของพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการลงโทษนั้นๆ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงยอมรับโทษบาปนั้นไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการอภัยโทษ โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจให้กับพระองค์ทรงนำชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากบาปทั้งปวงด้วย ขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า .. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




จะทราบได้อย่างไรว่า ฉันจะได้ไปสวรรค์หลังตายแล้วอย่างแน่นอน?

มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?




คำถาม: มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?

คำตอบ:
มีชีวิตหลังความตายหรือไม่? พระคัมภีร์บอกเราไว้ว่า “มนุษย์ที่เกิดมาโดยผู้หญิงก็อยู่แต่น้อยวัน และเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ เขาออกมาเหมือนดอกไม้ แล้วก็เหี่ยวแห้งไป เขาลี้ไปอย่างเงา และไม่อยู่ต่อไปอีก, ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกหรือ?”ในพระธรรม (โยบ 14:1-2, 14)

ดังเช่นยาโคบ เราเกือบทุกคนล้วนแต่ได้รับคำถามอันน่าท้าทายนี้ จริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นหรือ หลังจากที่เราตายไปแล้ว? เราหายไปเฉย ๆ อย่างนั้นหรือ? ชีวิตนั้นเป็นเหมือนประตูหมุนเข้า-ออกโลกเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ส่วนตัวหรือเปล่า? ทุกคนไปยังที่แห่งเดียวกันหรือไม่ หรือเราไปในที่แตกต่างกัน? สวรรค์และนรกมีจริงหรือไม่ - หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ใจคิดไปเอง?

พระคัมภีร์ได้บอกเราไว้ว่า ไม่เพียงแต่จะมีชีวิตหลังความตายเท่านั้น แต่ยังมีชีวิตนิรันดร์อันแสนสุขที่ “สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์” ในพระธรรม (1 โครินธ์ 2:9) พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์ ได้เสด็จมายังโลกนี้เพื่อมอบชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญพิเศษแก่เรา “แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี ” พระธรรม (อิสยาห์ 53:5)

พระเยซูทรงรับโทษที่เราสมควรต้องได้รับ และทรงสละพระชนม์ของพระองค์เอง สามวันต่อมา พระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงชัยชนะเหนือความตาย โดยการฟื้นขึ้นจากหลุมพระศพ ทั้งทางฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายเนื้อหนัง พระองค์ทรงอยู่บนโลกอีกเป็นเวลา 40 วันโดยมีผู้คนนับพันเป็นพยานในการฟื้นคืนพระชนม์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังแผ่นดินสวรรค์ ในพระธรรม โรม 4:25 เขียนไว้ว่า “ คือพระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม ”

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ เป็นเหตุการณ์ที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร อัครสาวกเปาโลได้ท้าทายให้คนอื่น ๆ สอบถามผู้ที่เป็นพยานเห็นด้วยตา เพื่อให้ทราบว่าเกิดขึ้นจริง และไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้ การฟื้นคืนพระชนม์เป็นหลักสำคัญของความเชื่อคริสเตียน เพราะพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ดังนั้นเราก็สามารถเชื่อได้เช่นกันว่าเราก็จะฟื้นขึ้นจากความตายด้วย

เปาโลได้ตักเตือนคริสเตียนในยุคต้น ๆ ที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ว่า “ ถ้าเราเทศนาว่าพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว เหตุใดพวกท่านบางคนยังกล่าวว่า การฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาไม่ ” พระธรรม(1 โครินธ์ 15:12-13)

พระคริสต์เป็นเพียงองค์แรกของการสำแดงอันยิ่งใหญ่ของการฟื้นคืนชีวิตหลังความตาย ความตายฝ่ายร่างกายเกิดมาจากอาดัม ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา แต่ทุกคนที่พระเจ้าทรงรับเข้าส่วนเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ จะได้รับชีวิตใหม่ ในพระธรรม (1 โครินธ์ 15:20-22) เช่นเดียวกับที่ พระเจ้าทรงชุบชีวิตของพระเยซู ร่างกายเราก็จะฟื้นขึ้นมาจากความตายเมื่อพระเยซูเสด็จมาเช่นกัน (1 โครินธ์ 6:14)

ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วเราจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย แต่ทุกคนก็ไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์พร้อมกันทั้งหมด แต่ละคนมีทางเลือกขณะมีชีวิตอยู่ว่า เขาหรือเธอจะไปอยู่ที่ไหนชั่วนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า เราทุกคนถูกกำหนดให้ตายเพียงครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่การพิพากษา (ฮีบรู 9:27) ผู้ชอบธรรมจะได้มีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ แต่ผู้ที่ไม่เชื่อ จะถูกส่งไปรับโทษนิรันดร์ในนรก (มัทธิว 25:46)

นรก ก็เหมือนสวรรค์ ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่คนจินตนาการขึ้นเอง แต่เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง เป็นที่ ๆ คนอธรรมจะต้องอยู่ตลอดกาล อยู่กับความพิโรธจากพระเจ้า พวกเขาเหล่านั้นจะต้องทนทุกข์กับความทรมาน ทางจิตใจ อารมณ์ ร่างกาย และจะได้รับรู้ความเจ็บปวดจากความละอาย ความเสียใจ และการดูถูก

มีคำบรรยายว่า นรกเป็นหลุมที่ไม่มีก้นบึ้ง (ลูกา 8:31, วิวรณ์ 9:1) และเป็นทะเลสาบไฟ ถูกเผาผลาญด้วยกรดซัลเฟอร์ ที่ซึ่งคนที่อยู่ในนั้นจะได้รับความทรมานตลอดทั้งวันทั้งคืนตลอดไปไม่มีสิ้นสุด (วิวรณ์ 20:10) ในนรก จะมีการร้องไห้คร่ำครวญและ การขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งแสดงถึงความโศกเศร้าและโมโหอย่างรุนแรง (มัทธิว 13:42) เป็นที่ซึ่ง “ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตายและไฟก็ไม่ดับเลย” (มาระโก 9:48) พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในความตายของคนชั่ว แต่ทรงประสงค์ให้พวกเขากลับใจกับความชั่วที่กระทำไป เพื่อเขาจะได้มีชีวิตใหม่ (เอเสเคียล 33:11) แต่พระองค์จะไม่บังคับให้เราไปที่นั่น ถ้าเราเลือกที่จะละทิ้งพระองค์ พระองค์ทรงมีทางเลือกเพียงน้อยนิด นั่นคือให้ในสิ่งที่เราต้องการ – ซึ่งคือการมีชีวิตแยกจากพระองค์

ชีวิตในโลกนี้คือการทดลอง–คือการเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะมาถึงสำหรับผู้เชื่อนี่คือชีวิตนิรันดร์ในการสถิตย์อยู่ของพระเจ้า ดังนั้น เราจะเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร และจะได้รับชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร? มีเพียงทางเดียวเท่านั้น – ทางความเชื่อและไว้วางใจในพระบุตรของพระเจ้า คือองค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูตรัสว่า “ เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิตผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้ว ก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย...” (ยอห์น 11:25-26)

ของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ เป็นของฟรีสำหรับทุกคน แต่เราจะได้เมื่อเรายอมสละความสุขทางฝ่ายโลก และถวายตัวแด่พระเจ้า “ ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตร ก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา” (ยอห์น 3:36) เราจะไม่ได้รับโอกาสให้กลับใจใหม่หลังจากที่เราตายไปแล้ว เพราะเมื่อเราอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าแล้ว เราจะไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเชื่อในพระองค์ พระองค์ต้องการให้เรามาหาพระองค์ด้วยความเชื่อและความรักในตอนนี้ ถ้าเรายอมรับว่าความตายของพระเยซูคริสต์เป็นการชำระบาปของเราที่เราทรยศต่อพระเจ้า ไม่เพียงแต่เราจะได้รับพันธสัญญาแห่งชีวิต ที่มีความหมายในโลกนี้แล้ว เรายังจะได้มีชีวิตนิรันดร์กับองค์พระคริสต์อีกด้วย

ถ้าคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ รับการอภัยโทษจากพระเจ้า นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า.. การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด) มีเพียงความเชื่อและได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ช่วยคุณให้ได้รับความรอดจากโทษของบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่จะมีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงนำคุณให้พ้นจากอำนาจของบาป… “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำผิดบาปต่อน้ำพระทัยของพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการลงโทษนั้นๆ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงยอมรับโทษบาปนั้นไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการอภัยโทษ โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจให้กับพระองค์ทรงนำชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากบาปทั้งปวงด้วย ขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามของ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า .. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?

ฉันได้รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว... ต้องทำอะไรต่อจากนี้?




ฉันได้รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว... ต้องทำอะไรต่อจากนี้?

ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่ง..! คุณได้ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณแล้ว บางทีคุณอาจจะมีคำถามว่า “ แล้วต้องทำอะไรต่อจากนี้? ฉันจะเริ่มต้นการเดินทางไปกับพระเจ้าได้อย่างไร?” คุณจะทราบได้จาก 5 ขั้นตอนข้างล่างนี้ ซึ่งเป็นวิถีทางที่นำมาจากพระคัมภีร์ และเมื่อใดที่คุณมีคำถามเกี่ยวกับการเดินในวิถีทางนี้ของคุณ กรุณาเยี่ยมชมเราได้ที่
  • http://www.gotquestions.org/Thai
  • 1. คุณต้องมั่นใจว่าเข้าใจเรื่องการไถ่บาป

    ในพระธรรม (1 ยอห์น 5:13) เขียนไว้ว่า “ ข้อความเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์” พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามาเข้าใจเรื่องการไถ่บาป.. พระองค์ทรงต้องการให้เรามีความมั่นใจว่า เราได้รับความรอดอย่างแน่นอน เรามาดูประเด็นสำคัญ ๆ ของเรื่องการไถ่บาปด้วยกันดีกว่า :

    (ก) เราทุกคนมีความบาป เราได้กระทำสิ่งที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย พระธรรม (โรม 3:23)

    (ข) เพราะความบาปของเราสมควรได้รับโทษโดยถูกตัดขาดจากพระเจ้าตลอดกาล พระธรรม (โรม 6:23)

    (ค) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาปแทนเรา พระธรรม (โรม 5:8 และ 2 โครินธ์ 5:21) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์.. เพื่อรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดที่เราสมควรได้รับและการฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นใหม่ เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าความตายที่พระเยซูทรงรับไว้นั้นเพียงพอสำหรับการไถ่โทษบาปของเราแล้ว

    (ง) พระเจ้าทรงให้อภัยและไถ่ชีวิตทุกคนที่มีความเชื่อในพระเยซูโดยที่เราได้เชื่อวางใจว่าพระองค์ทรงรับโทษบาปแทนเราที่ความตายนั้นแล้ว พระธรรม (ยอห์น 3:16 โรม 5:1 และ โรม 8:1)

    ..นั่นคือข้อความที่เกี่ยวกับการไถ่บาป..! หากคุณเชื่อว่า พระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้ช่วยให้รอดคุณก็ได้รับความรอดแล้ว ความบาปทั้งหมดของคุณ ก็จะได้รับการให้อภัยและพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งคุณ (โรม 8:38-39 และ มัทธิว 28:20) จำไว้ว่า.. คุณได้รับการไถ่ให้รอดแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ ไม่มีใครแย่งชิงเอาไปได้ (ยอห์น10:28-29) ถ้าคุณได้ไว้วางใจในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณแล้ว..เพียงเท่านั้น คุณก็จงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้มีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าในสวรรค์อย่างแน่นอน

    2. หาคริสตจักรดี ๆ ที่สอนพระคำของพระเจ้า

    อย่าเข้าใจว่าคริสตจักรคือตัวอาคารสถานที่ แต่คริสตจักรคือเหล่าผู้เชื่อ..เป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องมีการสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน นี่คือวัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งของคริสตจักร เมื่อคุณมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราขอหนุนใจให้คุณหาคริสตจักรที่เชื่อตามพระคัมภีร์ในพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ และให้คุณคุยกับศิษยาภิบาลประจำที่นั่น..บอกให้ท่านทราบถึงความเชื่อใหม่ของคุณที่มีในองค์พระเยซูคริสต์

    วัตถุประสงค์ที่สองของคริสตจักรคือเพื่อสอนพระคัมภีร์ คุณจะได้เรียนรู้ว่าคุณจะนำพระคำของพระเจ้าไปปรับใช้ในชีวิตของคุณได้อย่างไรบ้าง..? การทำความเข้าใจในพระคัมภีร์เป็นกุญแจสำคัญที่นำเราไปสู่การมีชีวิตคริสเตียนที่สมบูรณ์และเต็มไปด้วยพลัง ในพระธรรม (2 ทิโมธี 3:16-17) เขียนไว้ว่า “ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดีและการอบรมในทางธรรมเพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง”

    วัตถุประสงค์ที่สามของคริสตจักรคือเพื่อการนมัสการพระเจ้า การนมัสการคือการสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเรา... พระองค์ทรงไถ่เราให้รอด ทรงรักเรา ทรงจัดเตรียมทุกอย่างให้เรา ทรงนำและชี้ทางให้เรา แล้วเราจะไม่ขอบพระคุณพระองค์ได้อย่างไร..! พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทรงเที่ยงธรรม ทรงเปี่ยมด้วยความรัก เมตตา และพระคุณ ในพระธรรม (วิวรณ์ 4:11) ได้กล่าวไว้ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายพระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญพระเกียรติและฤทธิ์เดชเพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงและสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"

    3. จัดเวลาในแต่ละวันสำหรับพระเจ้า

    เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเราที่จะจัดเวลาในแต่ละวันสำหรับเรากับพระเจ้า บางคนเรียกช่วงเวลานี้ว่า “การเฝ้าเดี่ยว” บ้างก็เรียกว่า “การสนทนากับพระเจ้า” เพราะนี่คือเวลาส่วนตัวของเรากับพระเจ้า บางคนใช้เวลาในช่วงเช้าตรู่ บางคนใช้เวลาช่วงเย็น สิ่งสำคัญของการใช้เวลากับพระเจ้านี้ไม่ได้อยู่ที่เราเรียกช่วงเวลานั้นว่าอะไร หรือใช้เวลาเมื่อใด แต่อยู่ที่เราได้ใช้เวลานี้เป็นประจำกับพระองค์..แล้ว คุณจะใช้เวลากับพระเจ้าในการทำสิ่งใดบ้าง?

    (ก) อธิษฐาน – การอธิษฐานเป็นการสนทนากับพระเจ้าอย่างง่าย ๆ คุยกับพระเจ้าถึงความกังวลใจ หรือปัญหาที่เรามีอยู่ ขอสติปัญญาและการทรงนำจากพระเจ้า ขอพระองค์ประทานสิ่งที่จำเป็นให้กับคุณ ทูลให้พระองค์ทรงทราบว่าคุณรักพระองค์มากเพียงไร..? และคุณรู้สึกขอบพระคุณในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้มากเพียงใด นั่นคือสิ่งที่เราอธิษฐาน…

    (ข) อ่านพระคัมภีร์ – นอกเหนือจากการศึกษาพระคัมภีร์ในชั้นเรียนวันอาทิตย์ หรือชั้นเรียนพระคัมภีร์อื่น ๆ แล้ว คุณจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ด้วยตัวเองเช่นกัน พระคัมภีร์มีทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทราบในการใช้ชีวิตคริสเตียนอย่างสมบูรณ์ ในพระคัมภีร์มีแนวทางของพระเจ้าที่ทำให้เราทราบถึงการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ได้ทราบถึงน้ำพระทัยพระเจ้า ตลอดจนการช่วยเหลือผู้อื่น และการเจริญขึ้นทางฝ่ายจิตวิญญาณ พระคัมภีร์คือพระคำของพระเจ้าสำหรับพวกเรา เป็นคู่มือที่จำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เราใช้ชีวิตได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าและทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง

    4. มีสายสัมพันธ์กับบุคคลที่สามารถพัฒนาช่วยเหลือคุณในฝ่ายจิตวิญญาณได้

    พระธรรม (1 โครินธ์ 15:33) กล่าวไว้ว่า “ อย่าหลงเลย การคบคนชั่วย่อมเสียนิสัย ” พระคัมภีร์นั้นเต็มไปด้วยคำเตือนเกี่ยวกับอิทธิพลของคนชั่วที่อาจส่งผลต่อเราได้ การใช้เวลากับคนที่กระทำชั่วจะเป็นสิ่งที่ยั่วยุและนำเราให้หลงไปกระทำการนั้นได้ นิสัยของคนที่อยู่รอบตัวเรา ย่อมจะติดตัวเรามา นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เราจะต้องอยู่ในท่ามกลางบุคคลอื่น ๆ ที่รักและถวายตัวให้กับพระเจ้า

    ให้คุณพยายามหาเพื่อนสักคนหรือสองคน ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนในคริสตจักร ผู้ซึ่งสามารถช่วยคุณ และหนุนน้ำใจคุณได้เสมอ (ฮีบรู 3:13 และ 10:24) ขอให้เพื่อนของคุณคอยหนุนใจคุณให้ใช้เวลากับพระเจ้าและเดินไปกับพระเจ้า และถามเขาว่าขอให้คุณกระทำอย่างเดียวกันนี้ให้แก่เขาได้หรือไม่ นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเลิกคบกับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เชื่อในพระคริสต์เหมือนกับคุณ แต่ขอให้คุณยังเป็นเพื่อนกับเขา และรักเขาต่อไป เพียงแค่บอกให้เขารู้ว่าพระเยซูได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างไร และบอกเขาว่าตอนนี้คุณไม่สามารถประพฤติตนเหมือนอย่างที่เคยกระทำในอดีตได้แล้ว และขอให้พระเจ้าประทานโอกาสให้คุณได้แบ่งปันเรื่องพระเยซูกับเพื่อน ๆ ของคุณได้ด้วย…

    5. รับบัพติศมา

    คนเป็นจำนวนมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรับบัพติศมา.. คำว่า “ บัพติศมา ” แปลว่า จุ่มลงน้ำ บัพติศมาเป็นศัพท์ทางพระคัมภีร์ ในการประกาศความเชื่อใหม่ที่คุณมีในพระคริสต์ และคำมั่นสัญญาว่าคุณจะติดตามพระองค์ การจุ่มลงน้ำแสดงถึงการที่เราฝังตัวเก่าไปกับพระคริสต์ และการที่เราขึ้นมาจากน้ำนั้น เป็นภาพของการมีชีวิตใหม่ดุจการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ การได้รับบัพติศมาจึงเป็นการแสดงตนว่า คุณได้ตายไปกับพระคริสต์ ถูกฝังกับพระองค์ และเป็นขึ้นมากับพระองค์แล้ว (โรม 6:3-4)

    การรับบัพติศมา ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้คุณรอด และไม่ใช่สิ่งที่ลบล้างความบาปของคุณ แต่เป็นเพียงก้าวแรกแห่งการเชื่อฟัง และการประกาศถึงความเชื่อที่มีในองค์พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด และการรับบัพติศมาเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะเป็นก้าวแรกแห่งการเชื่อฟัง เป็นการประกาศความเชื่อในพระเยซูคริสต์และสัญญาที่เรามีต่อพระองค์ ถ้าคุณพร้อมรับบัพติศมา คุณก็ควรจะพูดกับศิษยาภิบาลของคุณได้เสมอ





    ฉันได้รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว... ต้องทำอะไรต่อจากนี้?