คำถามเกี่ยวกับมนุษย์



คำถามเกี่ยวกับมนุษย์





คำถามเกี่ยวกับมนุษย์

เรามีสองด้านหรือสามด้าน? เราประกอบด้วยร่างกาย, จิต และ วิญญาณ หรือ ร่างกาย และจิต-วิญญาณ?




คำถาม: เรามีสองด้านหรือสามด้าน? เราประกอบด้วยร่างกาย, จิต และ วิญญาณ หรือ ร่างกาย และจิต-วิญญาณ?

คำตอบ:
ปฐมกาล 1:26-27 กล่าวว่า “แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”

ข้อพระคัมภีร์นี้ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีอะไรที่แตกต่างจากสรรพสิ่งอื่น ๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงสร้างเราขึ้นมาให้มีทั้งส่วนที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน แน่นอนว่าส่วนที่มีตัวตน คือ ส่วนที่จับต้องมองเห็นได้ เช่น ร่างกาย, อวัยวะ เป็นต้น ส่วนนี้จะดำรงอยู่ตราบเท่าที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ส่วนที่ไม่มีตัวตน คือ ส่วนที่จับต้องมองเห็นไม่ได้ เช่น จิตใจ, จิตวิญญาณ, สติปัญญา, เจตนารมณ์, ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นต้น บุคลิกส่วนนี้ถือว่าจะดำเนินต่อไปหลังจากที่ชีวิตสิ้นสุดลง

มนุษย์ทุกคนประกอบด้วยบุคลิกที่จับต้องมองเห็นได้และจับต้องมองเห็นไม่ได้ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่ามนุษย์มีร่างกายที่ประกอบด้วยเนื้อหนัง, เลือด, กระดูก, อวัยวะ และ เซลล์ต่าง ๆ แต่ส่วนที่จับต้องมองเห็นไม่ได้ต่างหากที่เป็นเรื่องที่ถูกนำมาถกกันบ่อย ๆ พระคัมภีร์พูดเกี่ยงกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร? ปฐมกาล 2:7 - มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ กันดารวิถี 16:22 - เขาทั้งสองซบหน้าลงถึงดินกราบทูลว่า " ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อคนเดียวกระทำผิด พระองค์จะพิโรธแก่ชุมนุมชนทั้งหมดหรือ" ข้อพระคัมภีร์นี้กล่าวถึงพระเจ้าในฐานะพระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งสิ้น สุภาษิต 4:23 - จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ ข้อพระคัมภีร์นี้ชี้ให้เห็นว่าใจเป็นจุดศูนย์กลางของเจตนารมณ์และอารมณ์ของมนุษย์ กิจการ 23:1 – “ฝ่ายเปาโลจึงเพ่งดูพวกสมาชิกสภาแล้วกล่าวว่า "ดูก่อน ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อพระพักตร์พระเจ้าล้วนแต่ตามที่จิตสำนึกเห็นว่าดีจนถึงทุกวันนี้” โรม 12:1-2 - “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต อันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม” เราสามารถมองเห็นได้ว่ามีรูปการนา ๆ ประการเกี่ยวกับส่วนที่ไม่มีตัวตนของมนุษย์ และมนุษย์มีลักษณะทั้งส่วนที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ข้อพระคัมภีร์ที่นำมาอ้างอิงเหล่านี้เพียงแค่พื้นผิวเท่านั้น

ดังนั้น ในขณะที่การพูดกันเกี่ยวกับส่วนที่จับต้องไม่ได้ของมนุษย์เน้นที่จิตใจและจิตวิญญาณเท่านั้น ข้อพระคัมภีร์วางโครงร่างให้เห็นมากกว่านั้น ด้วยเหตุใดก็ตามมุมมองที่พูดไปแล้วข้างต้น (จิต, วิญญาณ, หัวใจ, ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี, และ ความคิด) เกี่ยวข้องกัน และ แทรกซึมอยู่ในซึ่งกันและกัน แต่แน่นอนว่าจิตและจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่อยู่ในส่วนที่จับต้องไม่ได้ของมนุษย์มาตั้งแต่แรกเริ่ม ดูเหมือนว่ามันเป็นส่วนประกอบของส่วนอื่น ๆ ในร่างกายด้วย จากความเห็นเหล่านี้ ดังนั้นมนุษย์ประกอบด้วยสองส่วน (ร่างกาย/จิตวิญญาณ) หรือสามส่วน? (ร่างกาย/จิตใจ/จิตวิญญาณ) มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่มีเหตุผล มีข้อถกเถียงที่ดีสำหรับทั้งสองคำถาม ข้อพระคัมภีร์หลักคือข้อพระคัมภีร์ในหนังสือฮีบรู 4:12 “เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” ข้อพระคัมภีร์นี้บอกเราอย่างน้อยสองอย่างเกี่ยวกับหัวข้อที่เรากำลังถกกันนี้ 1) จิตและวิญญาณสามารถแบ่งแยกออกจากกันได้ 2) การแบ่งแยกจิตและวิญญาณเป็นเรื่องที่พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ เราสามารถมั่นใจได้ว่าในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เรามีร่างกาย จิตและวิญญาณ และอะไรอื่น ๆ อีกมาก! แต่แทนที่เราจะเน้นที่เรื่องนี้ เราควรจะเน้นที่พระผู้สร้างจะดีกว่า เพราะโดยพระองค์ “พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์แปลกประหลาดอย่างน่ากลัว” (สดุดี 139:14)





เรามีสองด้านหรือสามด้าน? เราประกอบด้วยร่างกาย, จิต และ วิญญาณ หรือ ร่างกาย และจิต-วิญญาณ?

อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างจิตและวิญญาณของมนุษย์?




คำถาม: อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างจิตและวิญญาณของมนุษย์?

คำตอบ:
อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างจิตและวิญญาณของมนุษย์? คำว่า “วิญญาณ” เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับด้านที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ของมนุษย์ มนุษย์มีวิญญาณ แต่เราไม่ได้เป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าผู้เชื่อ – ผู้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเขา - เท่านั้น คือผู้ที่ “มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ” (1 โครินธ์ 2:11; ฮีบรู 4:12; ยากอบ 2:26) ผู้ไม่เชื่อคือผู้ที่ “ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ” (เอเฟซัส 2:1-5; โคโลสี 2:13) ในหนังสือของท่านอาจารย์เปาโล “วิญญาณ” เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ (1 โครินธ์ 2:14; 3:1; 15:45; เอเฟซัส 1:3; 5:19; โคโลสี 1:9; 3:16) วิญญาณเป็นรากปฐมในมนุษย์ที่ทำให้เขาสามารถมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าได้ เมื่อใดที่มีการใช้คำว่า “วิญญาณ” มันหมายความถึงส่วนที่ไม่มีตัวตนที่จับต้องไม่ได้ของมนุษย์รวมถึงส่วนที่เป็นจิตของเขาด้วย

คำว่า “จิต” ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่ส่วนที่ไม่มีตัวตนและจับต้องไม่ได้ของมนุษย์เท่านั้นแต่มันยังเกี่ยวข้องกับส่วนที่จับต้องได้ด้วย การมี “วิญญาณ” ของมนุษย์ไม่เหมือนกับการที่มนุษย์เป็นจิตวิญญาณ ตามความหมายขั้นพื้นฐานที่สุดคำว่า “จิต” หมายถึงชีวิต แต่นอกจาก “ชีวิต” แล้วพระคัมภีร์ยังพูดถึงแง่มุมอื่น ๆ อีกมากมาย แง่มุมหนึ่งคือการที่มนุษย์กระวนกระวายที่จะทำความบาป (ลูกา 12:26) มนุษย์โดยธรรมชาติแล้วชั่วร้าย และจิตใจของเขาก็แปดเปื้อนไป ชีวิตจะจบสิ้นลงเมื่อคน ๆ หนึ่งถึงแก่ความตาย (ปฐมกาล 35:18; เยเรมีย์ 15:2) ทั้ง “ จิต ” และ “วิญญาณ” เป็นจุดศูนย์กลางของประสบการณ์มากมายทางฝ่ายจิตวิญญาณและอารมณ์ (โยบ 30:25; สดุดี 43:5; เยเรมีย์ 13:17) เมื่อใดที่มีการใช้คำว่า “จิต” มันหมายถึงคนที่พร้อมทุกด้าน ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม

“จิต” และ “วิญญาณ” คล้ายกันในแง่ที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ แต่มันแตกต่างกันทางด้านความหมาย “จิต” คือมุมมองแนวราบของมนุษย์กับโลก “วิญญาณ” คือมุมมองแนวดิ่งของมนุษย์กับพระเจ้า มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจว่าทั้งสองคำเกี่ยวข้องกับส่วนที่จับต้องไม่ได้ของมนุษย์ แต่ส่วนที่เป็น “วิญญาณ” เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการเดินกับพระเจ้าของมนุษย์ ส่วน “จิต” เกี่ยวข้องกับการเดินไปในโลกของมนุษย์ ทั้งส่วนที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้





อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างจิตและวิญญาณของมนุษย์?

มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า ตามอย่างพระองค์หมายความว่าอย่างไร? (ปฐมกาล 1:26-27)




คำถาม: มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า ตามอย่างพระองค์หมายความว่าอย่างไร? (ปฐมกาล 1:26-27)

คำตอบ:
ในวันสุดท้ายของการทรงสร้าง พระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา” (ปฐมกาล1:26) ด้วยเหตุนี้งานของพระองค์จึงสำเร็จด้วย “ฝีพระหัตถ์” ของพระองค์เอง พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดิน แล้วให้ลมปราณกับเขาด้วยลมปราณของพระองค์เอง (ปฐมกาล 2:7) ดังนั้นมนุษย์จึงไม่เหมือนกับสิ่งอื่น ๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง ด้วยมีทั้งส่วนที่เป็นเลือดเนื้อ (ร่างกาย) และไม่เป็นเลือดเนื้อ (จิต/วิญญาณ)

การมี “พระฉายา” และ “ความเหมือน” กับพระเจ้าหมายความง่าย ๆ ว่า เราถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนพระเจ้า อาดัมไม่เหมือนพระเจ้าในแง่ที่ว่าเขามีเลือดเนื้อ พระคัมภีร์บอกว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” (ยอห์น 4:24) ดังนั้นพระองค์จึงทรงดำรงอยู่โดยไม่มีร่างกาย แต่กายของอาดัมสะท้อนชีวิตของพระเจ้าในแง่มุมที่ว่าเขาถูกสร้างขึ้นมาให้มีสุขภาพสมบูรณ์และไม่ต้องตาย

พระฉายาของพระเจ้าหมายถึงส่วนที่ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อของมนุษย์ ส่วนนี้เองที่แยกมนุษย์ออกจากโลกของสัตว์ และทำให้เขาเหมาะสมที่จะมีอำนาจ “ครอบครอง” ตามที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ (ปฐมกาล 1:28) และช่วยให้เขาสื่อสารกับพระผู้สร้างของเขาได้ มันเป็นความเหมือนทางด้านความคิด, คุณธรรม และสังคม

ทางด้านความคิด มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีเหตุมีผล, มีสิทธิที่จะทำตามความพอใจของตนเอง – หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มนุษย์สามารถคิดและเลือกได้ นี่คือภาพสะท้อนของสติปัญญาและเสรีภาพของพระเจ้า ทุกครั้งที่มีใครคนใดคนหนึ่งคิดค้นเครื่องจักร, เขียนหนังสือ, วาดรูป, สนุกสนานกับการฟังดนตรี, บวกลบเลข, หรือตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงขึ้นมาได้ เขาก็จะบอกว่าที่เราทำได้เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า

ทางด้านคุณธรรม มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาในความชอบธรรม มีซื่อบริสุทธิ์ อันเป็นภาพสะท้อนของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าทอดพระเนตรบรรดาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง (รวมทั้งมนุษย์ด้วย) และทรงเห็นว่า “เป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก” (ปฐมกาล 1:31) ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือ “เข็มทิศแห่งคุณธรรม” ของเรา คือร่องรอยของสภาพดั้งเดิมของเรานั่นเอง เมื่อใครบางคนเขียนกฎหมายขึ้นมา, หันกลับมาจากความชั่ว, ชื่นชมความประพฤติดี, หรือมีความรู้สึกผิด เขากำลังยืนยันความจริงที่ว่าเราถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า

ทางด้านสังคม มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีการคบหาสมาคมกัน นี่เป็นการสะท้อนถึงพระลักษณะที่เป็นสามพระภาคและความรักของพระองค์ ในสวนเอเดน ความสัมพันธ์แรกของมนุษย์คือความสัมพันธ์กับพระเจ้า (ปฐมกาล 3:8 แสดงถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้า) และพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ผู้หญิงขึ้นมาก็เพราะว่า “มนุษย์นั้นอยู่คนเดียวก็ไม่เหมาะ” (ปฐมกาล 2:18) ทุกครั้งที่ชายคนหนึ่งแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง, รู้จักเพื่อนใหม่, กอดเด็กเล็ก ๆ, หรือไปโบสถ์ เขาก็กำลังแสดงถึงความจริงที่ว่าเราถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า

ส่วนที่ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าหมายความว่าอาดัมมีอิสระในการเลือก แม้ว่าเขาจะถูกสร้างขึ้นมาให้มีธรรมชาติที่มีความชอบธรรม แต่อาดัมเลือกทางที่ชั่วร้ายโดยการเป็นกบฏต่อพระผู้สร้างของเขา จากการเลือกนั้นอาดัมทำให้พระฉายาของพระเจ้าภายในเขามีตำหนิ แล้วเขาก็ส่งต่อพระฉายาที่ชำรุดมายังลูกหลานของเขารวมทั้งเราด้วย (โรม 5:12) ในปัจจุบันเราก็ยังแสดงพระฉายาของพระเจ้าอยู่ (ยากอบ 3:9) แต่เราก็แสดงรอยแผลเป็นแห่งความบาปออกมาด้วย ทั้งทางด้านอารมณ์, คุณธรรม, สังคม และ ร่างกาย

ข่าวดีก็คือเมื่อพระเจ้าทรงไถ่มนุษย์แต่ละคน พระองค์ทรงนำพระฉายาของพระองค์กลับคืนมาให้เขา โดยการ “ให้ท่านสวมสภาพ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (เอเฟซัส 4:24; ดู โคโลสี 3:10 ประกอบด้วย)





มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า ตามอย่างพระองค์หมายความว่าอย่างไร? (ปฐมกาล 1:26-27)

ทำไมคนในสมัยปฐมกาลจึงมีอายุยืน?




คำถาม: ทำไมคนในสมัยปฐมกาลจึงมีอายุยืน?

คำตอบ:
การที่คนในปฐมกาลยุคต้น ๆ มีอายุยืนค่อนข้างจะเป็นเรื่องปริศนา นักศาสนศาสน์และนักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎีหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 5 พระคัมภีร์ได้ลำดับพงศ์พันธุ์ของอาดัม - พงศ์พันธุ์ที่พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิด – เอาไว้ เป็นไปได้ว่าพระเจ้าได้ทรงอวยพรพงศ์พันธุ์นี้ให้มีอายุยืนเป็นพิเศษ เพราะพงศ์พันธ์นี้เป็นพงศ์พันธุ์ที่ติดตามและเชื่อฟังพระเจ้า แต่ถึงแม้ว่านี่เป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้ ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่จำกัดว่าคนที่มีชื่อปรากฏอยู่ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 5 เท่านั้นที่จะมีอายุยืนยาวได้ นอกจากนั้นนอกจากเอโนคแล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่ามีใครอีกที่มีความเชื่อมั่นคงในพระเจ้าอย่างท่าน ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ที่ทุกคนในตอนนั้นมีอายุยืนหลายร้อยปี ด้วยมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนในสมัยนั้นมีอายุยืน

ปฐมกาล 1:6-7 พูดถึง “น้ำซึ่งอยู่เหนือพื้นอากาศ” ที่ “ปกคลุม” อยู่เหนือโลก “น้ำที่ปกคลุมอยู่เหนือโลก” คงสร้าง “ภาวะเรือนกระจก” ปกคลุมไปทั่วโลก และคงเป็นตัวกั้นรังสีส่วนใหญ่ที่โลกกำลังประสบอยู่ในปัจจุบันเอาไว้ ผลคือมันคงทำให้เกิดเป็นสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการอาศัยอยู่ในโลกนี้ เหตุผลนี้ดูจะเหมาะสมที่สุดเมื่อดูจากชีวิตของคนที่สั้นขึ้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก หนังสือปฐมกาล 7:11 ราวกับจะบอกว่าตอนที่น้ำท่วมโลก “น้ำที่ปกคลุมอยู่เหนือโลก” ถูกเทลงมา ทำให้สภาวะที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่อาศัยบนโลกนี้สิ้นสุดลง จงเปรียบเทียบอายุของคนในสมัยก่อนน้ำท่วมโลก (ปฐมกาล 5:1-32) กับหลังน้ำท่วมโลก (ปฐมกาล 11:10-32) ดู แล้วเราจะเห็นว่าหลังจากน้ำท่วมโลกอายุของผู้คนสั้นขึ้นทันที

อีกปัจจัยหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาคือคนในช่วงแรก ๆ หลังจากการทรงสร้างยังมียีนส์ที่ไม่ค่อยมีความบกพร่องมากนัก อาดัมและเอวาถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่มีข้อบกพร่องเลย แน่นอนว่าเขาทั้งสองคนมีภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บสูงมาก และความบริบูรณ์นี้คงถูกถ่ายทอดลงมาสู่ลูกหลานของเขาด้วย แต่คงลดน้อยลงไปตามลำดับ ต่อมาเมื่อเกิดความบาปขึ้น ยีนส์ในร่างกายมนุษย์จึงมีความบกพร่องมากขึ้น มนุษย์จึงมีความไวต่อโรคภัยไข้เจ็บและความตายมากขึ้น นี่คงเป็นผลที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์สั้นลงไปกว่าแต่ก่อน





ทำไมคนในสมัยปฐมกาลจึงมีอายุยืน?

อะไรคือที่มาของชนชาติต่าง ๆ?




คำถาม: อะไรคือที่มาของชนชาติต่าง ๆ?

คำตอบ:
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนว่าต้นกำเนิดของ “ชนชาติ” หรือ ชนสีผิวต่าง ๆ มาจากไหน แต่ตามความเป็นจริงแล้วในโลกนี้มีชนชาติเดียวเท่านั้น – มนุษยชาติ – และภายในมนุษย์ชาตินั้นมีความหลากหลายในสีผิวและรูปร่างลักษณะ บางคนเดาว่าในตอนที่พระเจ้าทรงทำให้ภาษาของมนุษย์สับสนในขณะที่พวกเขาพยายามสร้างหอบาเบลขึ้นมานั้น (ปฐมกาล 11:1-9) พระองค์ทรงทำให้พวกเขามีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและผิวพรรณด้วย มันเป็นไปได้ว่าพระเจ้าทรงเปลี่ยนพันธุกรรมของมนุษย์เพื่อที่จะให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันได้ เช่น ทรงให้คนแอฟริกัน “พร้อม” ทางด้านพันธุกรรมมากกว่าชนชาติอื่นในด้านความอดทนต่อความร้อนจัดในทวีปแอฟริกา และตามมุมมองนี้ พระเจ้าได้ทรงทำให้ภาษาของพวกเขาสับสนไปด้วย ซึ่งเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องจับกลุ่มกันตามภาษา ต่อจากนั้นจึงได้ทรงให้มนุษย์มีความแตกต่างกันทางด้านพันธุกรรมโดยยึดถิ่นที่อยู่ของแต่ละเชื้อชาติเป็นหลัก ถึงแม้ว่าการคาดคะเนนี้จะมีความเป็นไปได้ แต่พระคัมภีร์ก็ไม่ได้บอกไว้ชัดเจน ตอนที่มีการสร้างหอบาเบลไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่พูดถึงชนชาติ/สีผิวของมนุษย์เลย

หลังจากน้ำท่วมโลก, เมื่อมีภาษาต่าง ๆ เกิดขึ้น, กลุ่มที่พูดภาษาเดียวกันก็ย้ายออกไปอยู่กับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ในการทำเช่นนั้น ยีนส์ร่วมจากกลุ่มใหญ่จึงหดลงเพราะไม่มีการผสมผสานกันในกลุ่มใหญ่อีกต่อไป แต่มีการผสมผสานกันในกลุ่มที่เล็กลงแทน และเมื่อเวลาผ่านไปรูปลักษณ์บางประการในแต่ละกลุ่มจึงโดดเด่นขึ้นมา (ตามลักษณะเด่นของยีนส์ในแต่ละกลุ่ม) เมื่อการผสมพันธุ์ผ่านมาหลายชั่วอายุคน ยีนส์ร่วมจากกลุ่มใหญ่จึงลดน้อยถอยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ว่าคนในกลุ่มภาษาแต่ละกลุ่มจะมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับคนในกลุ่มเดียวกัน และจะเป็นเรื่องยากมากที่คนในกลุ่มเดียวกันจะมีรูปลักษณ์แตกต่างออกไปจากคนอื่นในกลุ่ม

คำอธิบายอีกประการหนึ่งก็คืออาดัมและเอวามียีนส์ที่จะผลิตลูกหลานผิวดำ, น้ำตาลและขาว (และสีผิวอื่น ๆ ด้วย) อยู่ในตัว มันคงคล้ายกับการที่คู่สมรสต่างสีผิวจะมีลูกที่มีสีผิวไม่เหมือนกัน และ มันเป็นไปได้เหมือนกันว่าเนื่องจากเป็นที่แน่นอนว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีความแตกต่างกันในด้านรูปลักษณ์ พระองค์จึงทรงให้อาดัมและเอวามีความสามารถที่จะให้กำเนิดลูกหลานที่มีสีผิวต่างกัน ต่อมา ผู้ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลกมีเพียงโนอาห์, ภรรยา, ลูกสามคนของโนอาห์และภรรยาของพวกเขา รวมทั้งสิ้นแปดคนเท่านั้น (ปฐมกาล 7:13) บางทีภรรยาของเชม, ฮามและยาเฟทมาจากชนต่างกลุ่มก็ได้ และมันก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าภรรยาของโนอาห์ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับโนอาห์ บางทีคนทั้ง 8 คนเป็นคนกลุ่มผสมก็ได้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขามียีนที่สามารถให้กำเนิดลูกหลานที่มีสีผิวต่างกันได้ แต่ไม่ว่าคำอธิบายจะเป็นอย่างไร ข้อสำคัญของคำถามนี้ก็คือเราทุกคนเป็นชนชาติเดียวกัน, เราทุกคนถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าองค์เดียวกัน, และเราทุกคนถูกสร้างขึ้นมาด้วยพระประสงค์เดียวกัน





อะไรคือที่มาของชนชาติต่าง ๆ?

พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการเหยียดผิว, การมีอคติ, การเลือกที่รักมักที่ชังไว้ว่าอย่างไร?




คำถาม: พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการเหยียดผิว, การมีอคติ, การเลือกที่รักมักที่ชังไว้ว่าอย่างไร?

คำตอบ:
ประการแรกที่เราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือเรามีชนชาติเดียวเท่านั้น – มนุษยชาติ - คนขาว คนแอฟริกัน คนเอเชีย คนอินเดียแดง คนอาหรับ คนยิว, ฯลฯ ไม่ใช่คนต่างชาติพันธุ์ แต่ต่างเชื้อชาติเท่านั้น มนุษยชาติมีบุคลิกลักษณะเหมือนกัน (แต่อาจมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย) ที่สำคัญคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:26-27) พระเจ้าทรงรักโลก (ยอห์น 3:16) พระเยซูทรงให้ชีวิตของพระองค์กับคนทั้งโลก (1 ยอห์น 2:2) แน่นอนคำว่า “คนทั้งโลก” ครอบคลุมไปถึงมนุษย์ทุกชาติพันธุ์

พระเจ้าทรงไม่แสดงความลำเอียงหรือเลือกที่รักมักที่ชัง (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:17; กิจการ 10:34; โรม 2:11; เอเฟซัส 6:9) เพระฉะนั้นเราจึงควรเป็นเช่นนั้นด้วย ยากอบ 2:4 บอกว่าผู้ที่แสดงความลำเอียงก็เป็น “ผู้วินิจฉัยด้วยใจชั่ว” ดังนั้นแทนที่จะเป็นเช่นนั้นเราควร “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ยากอบ 2:8) ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงแยกมนุษยชาติออกเป็นสอง “ชนชาติ” คือ ชาวยิวและชาวต่างชาติ พระประสงค์ของพระเจ้าคือให้คนยิวเป็นชนชาติปุโรหิตเพื่อปรนนิบัติชาวต่างชาติ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นว่าคนยิวโดยส่วนใหญ่เกิดความหยิ่งในสถานภาพของตนเองและรังเกียจคนต่างชาติ ดังนั้นพระเยซูคริสต์จึงทรงทำลายกำแพงแห่งความเป็นศัตรูกันลงไปเสีย (เอเฟซัส 2:14) การเหยียดผิว, การมีอคติ, การเลือกที่รักมักที่ชัง ทุกรูปแบบเป็นการดูถูกสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงกระทำบนไม้กางเขน

พระเยซูทรงสั่งให้เรารักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา (ยอห์น 13:34) หากพระเจ้าทรงลำเอียง และรักเราด้วยความลำเอียง นั่นก็หมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องรักผู้อื่นด้วยมาตรฐานแบบนั้นด้วย พระเยซูทรงสอนไว้ในตอนจบของหนังสือมัทธิวบทที่ 25 ว่า ซึ่งเราได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของพระองค์ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่พระองค์ด้วย หากเราดูถูกผู้ใด ก็เท่ากับว่าเราได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาตามพระฉายของพระองค์ ซึ่งเท่ากับว่าเรากำลังทำร้ายคนที่พระเจ้าทรงรักและคนที่พระเยซูได้ทรงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเขา

การเหยียดผิว, ในรูปแบบและระดับที่แตกต่างกัน, คือโรคระบาดที่เกิดขึ้นในมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว พี่น้องทุกชาติพันธุ์ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลย! พี่น้องที่ถูกเหยียดผิว, ถูกมีอคติ, ถูกเลือกที่รักมักที่ชัง – ท่านต้องให้อภัย – หนังสือเอเฟซัส 4:32 กล่าวว่า “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่านในพระคริสต์นั้น” แน่นอนผู้เหยียดผิวไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยจากท่าน แต่เรายิ่งไม่สมควรที่จะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้ายิ่งไปกว่านั้นมากมายนัก! ส่วนผู้ที่ทำผิดในการเหยียดผิว, การมีอคติ, การเลือกที่รักมักที่ชัง – ท่านจำเป็นที่จะต้องกลับใจใหม่และ “จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า” (โรม 6:13) ขอให้ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือกาลาเทีย 3:28 เป็นจริงด้วยเถิด “จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์”





พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการเหยียดผิว, การมีอคติ, การเลือกที่รักมักที่ชังไว้ว่าอย่างไร?