คำถามเกี่ยวกับการอธิษฐาน



คำถามเกี่ยวกับการอธิษฐาน





คำถามเกี่ยวกับการอธิษฐาน

ทำไมจึงต้องอธิษฐาน?




คำถาม: ทำไมจึงต้องอธิษฐาน? เราจะต้องอธิษฐานไปทำไมเมื่อพระเจ้าทรงรู้อนาคต และทรงควบคุมสถานการณ์อยู่แล้ว ถ้าเราเปลี่ยนใจพระเจ้าไม่ได้ เราจะอธิษฐานไปทำไม?

คำตอบ:
ทำไมจึงต้องอธิษฐานเมื่อพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างได้ดีอยู่แล้ว? เราจะต้องอธิษฐานไปทำไมเมื่อพระเจ้าทรงรู้อยู่แล้วว่าเราจะขออะไรก่อนที่เราจะขอเสียอีก?

(1) การอธิษฐานคือการปรนนิบัติพระเจ้า (ลูกา 2:36-38) เราอธิษฐานเพราะพระเจ้าทรงสั่งให้เราอธิษฐาน (ฟีลิปปี 4:6-7)

(2) พระคริสต์และคริสตจักรในยุคแรกได้แสดงการอธิษฐานไว้เป็นตัวอย่างสำหรับเรา (มาระโก 1:35; กิจการ 1:14; 2:42; 3:1; 4:23-31; 6:4; 13:1-3) หากพระเยซูทรงคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะอธิษฐาน เราก็ควรอธิษฐาน

(3) พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้การอธิษฐานเป็นการแสวงหาคำตอบในสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง เช่น:

ก) การเตรียมพร้อมสำหรับการตัดสินใจครั้งใหญ่ ๆ (ลูกา 6:12-13)
ข) การมีชัยชนะเหนืออุปสรรค์จากมารซาตานในชีวิต (มัทธิว 17:14-21)
ค) การรวบรวมคนงานเพื่อการเก็บเกี่ยวฝ่ายวิญญาณ (ลูกา 10:2)
ง) การมีพลังที่จะเอาชนะการทดลอง (มัทธิว 26:41)
จ) การเสริมกำลังผู้อื่นฝ่ายวิญญาณ (เอเฟซัส 6:18-19)

(4) เราได้รับพระสัญญาจากพระเจ้าว่าคำอธิษฐานของเราจะไม่เสียเปล่า แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้รับสิ่งที่เราขอก็ตาม (มัทธิว 6:6; โรม 8:26-27)

(5) พระองค์ทรงสัญญาว่าเมื่อเราขอสิ่งใดที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงตอบคำอธิษฐาน (1 ยอห์น 5:14-15)

บางครั้งพระองค์จะทรงไม่ตอบคำอธิษฐานโดยทันทีเพื่อผลประโยชน์ของเราเอง ในสถานการณ์แบบนี้ เราต้องฉลาดและอธิษฐานต่อไปโดยไม่หยุด (มัทธิว 7:7; ลูกา 18:1-8) เราไม่ควรมองการอธิษฐานว่าเป็นการขอให้พระเจ้าทรงทำตามความต้องการของเราบนโลกนี้ แต่ควรจะมองว่ามันเป็นการขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จลงบนโลกนี้ มากกว่า พระปัญญาของพระเจ้าล้ำลึกกว่าสติปัญญาของเรามากนัก

ในบางครั้งเมื่อเราไม่รู้ชัดเจนว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไร การอธิษฐานคือวิธีแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ หากท่านเปโตรไม่ได้ทูลขอให้พระเยซูทรงเรียกท่านให้ออกมาจากเรือและเดินบนน้ำ ท่านคงพลาดโอกาสนั้น (มัทธิว 14:28-29) หากหญิงชาวซีเรียผู้มีลูกสาวถูกผีสิงไม่ได้อธิษฐานต่อพระคริสต์ ลูกสาวของเธอคงจะไม่ได้รับการรักษาจนหายดี (มาระโก 7:26-30) หากชายตาบอดใกล้เมืองเยริโคไม่ได้ร้องเรียกพระคริสต์ ตาเขาก็คงยังบอดอยู่นั่นเอง (ลูกา 18:35-43) พระเจ้าตรัสว่าบ่อยครั้งที่เราไม่ได้รับเพราะเราไม่ได้ขอ (ยากอบ 4:2) ในอีกแง่หนึ่ง การอธิษฐานเปรียบได้กับการแบ่งปันพระกิตติคุณ เราไม่รู้ว่าใครจะตอบสนองต่อพระกิตติคุณบ้างจนกว่าเราจะแบ่งปันออกไป ก็เหมือนการอธิษฐาน เราจะไม่เห็นผลของการอธิษฐานจนกว่าเราจะอธิษฐานเสียก่อน

การไม่อธิษฐานแสดงถึงการขาดความเชื่อและความวางใจในพระวจนะของพระเจ้า เราอธิษฐานเพื่อแสดงความเชื่อของเราในพระเจ้า ว่าพระองค์จะทรงทำตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในพระวจนะของพระองค์ และจะทรงอวยพรเรามากกว่าที่เราขอหรือหวังว่าจะได้ (เอเฟซัส 3:20) การอธิษฐานคือวิธีการเบื้องต้นของเราที่จะได้เห็นพระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของผู้อื่น เนื่องจากมันเป็นวิธีของเราที่จะ “ดิ่งเข้าไปสู่” ฤทธิอำนาจของพระเจ้า, มันจึงเป็นวิธีที่เราจะเอาชนะศัตรูและสมุนของมัน (ซาตานและสมุนของมัน) ศัตรูที่เราไม่มีพลังที่จะเอาชนะด้วยตัวของเราเองได้ ดังนั้นขอให้พระเจ้าทรงได้พบเราเสมอที่พระที่นั่งของพระองค์ เพราะเรามีมหาปุโรหิตในสวรรค์ผู้ทรงผ่านการทดลองเหมือนอย่างเราทุกประการ (ฮีบรู 4:15-16) พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังมากทำให้เกิดผล (ยากอบ 5:16-18) ขอให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่ยกย่องสรรเสริญในชีวิตของเราเมื่อเราเชื่อในพระองค์มากพอที่จะเข้ามาหาพระองค์เสมอ ๆ ด้วยการอธิษฐาน





ทำไมจึงต้องอธิษฐาน?

คำอธิษฐานของคนบาปคืออะไร?




คำถาม: คำอธิษฐานของคนบาปคืออะไร?

คำตอบ:
คำอธิษฐานของคนบาป คือ คำอธิษฐานที่คนเราอธิษฐานกับพระเจ้าเมื่อเขาเข้าใจแล้วว่าเขาเป็นคนบาปและต้องการพระผู้ช่วยให้รอด การกล่าวคำอธิษฐานของคนบาปเฉย ๆ ไม่ได้เกิดผลอะไรโดยตัวของมันเอง คำอธิษฐานของคนบาปจะเกิดผลก็ต่อเมื่อผู้อธิษฐานรู้ เข้าใจ และเชื่อเกี่ยวกับความบาป และความจำเป็นของการไถ่บาปอย่างแท้จริง

มุมมองแรกของการกล่าวคำอธิษฐานของคนบาป คือ การเข้าใจว่าเราทุกคนเป็นคนบาป ข้อพระธรรมโรม 3:10 กล่าวว่า “ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย” พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าเราทุกคนเป็นคนบาป เราทุกคนเป็นคนบาปและต้องการพระเมตตาและการให้อภัยบาปจากพระเจ้า (ทิตัส 3:5-7) เพราะความบาปของเรา เราสมควรที่จะได้รับการลงโทษชั่วนิรันดร์ (มัทธิว 25:46) คำอธิษฐานของคนบาป คือ การร้องขอพระคุณ แทนการลงโทษ ซึ่งเป็นการขอความเมตตา แทนความโกรธ

มุมมองที่สองของคำอธิษฐานของคนบาป คือ การที่ได้รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำอะไรลงไปเพื่อเยียวยาให้เราหายจากความหลงหายและความบาปของเรา พระเจ้าได้ทรงรับสภาพเนื้อหนัง และทรงบังเกิดมาเป็น มนุษย์ ในสภาพขององค์พระเยซูคริสต์ (ยอห์น 1:1, 14) พระเยซูทรงสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าให้กับเรา และทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างชอบธรรมไร้ความบาปโดยสิ้นเชิง (ยอหฺ์น 8:46; 2 โครินธ์ 5:21) หลังจากนั้นพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแทนเรา ทรงรับการลงโทษที่เราสมควรจะได้รับแทนเรา (โรม 5:8) พระเยซูทรงฟื้นจากความตายเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีชัยเหนือความตาย ความบาป และนรก (โครินธ์ 2:15; 1 โครินธ์ บทที่ 15) ด้วยการกระทำทั้งหมดนี้ หากเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราสามารถรับการให้อภัยบาป และรับพระสัญญาว่าเราจะมีที่อยู่บนสวรรค์นิรันดรได้ ทั้งหมดที่เราจะต้องทำคือเชื่อว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แทนเรา และทรงฟื้นคืนพระชนม์ (โรม 10:9-10) เราสามารถรอดได้โดยพระุคุณ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เท่านั้น ข้อพระคัมภีร์เอเฟซัส 2:8 กล่าวว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้”

การกล่าวคำอธิษฐานของคนบาป เป็นการบอกกับพระเจ้าอย่างง่าย ๆ ว่า คุณวางใจในพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีคำ “มายากล” ใด ๆ ที่จะช่วยให้ใครรอดได้ มีแต่ความเชื่อในการสิ้นพระชนม์ และ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเท่านั้น ที่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากความบาปได้ หากคุณเข้าใจแล้วว่าคุณเป็นคนบาป และต้องการความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์ คุณสามารถอธิษฐานด้วยถ้อยคำเหล่านี้กับพระเจ้าได้ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์สมควรที่จะได้ร้บผลแห่งความบาป แต่ข้าพระองค์วางใจพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อว่าการสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ช่วยให้ข้าพระองค์ได้รับการอภัย ข้าพระองค์วางใจในพระเยซู และเชื่อว่าทรงเป็นพระเจ้าและ พระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของข้าพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด และทรงยกโทษบาปให้ข้าพระองค์! ขออธิษฐานในนามขององค์พระเยซูคริสต์ อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




คำอธิษฐานของคนบาปคืออะไร?

คำอธิษฐานของพระเจ้าคืออะไร และเราควรอธิษฐานตามไหม?




คำถาม: คำอธิษฐานของพระเจ้าคืออะไร และเราควรอธิษฐานตามไหม?

คำตอบ:
คำอธิษฐานของพระเจ้า คือ คำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ในหนังสือ มัทธิว 6:9-13 และ ลูกา 11:2-4 หนังสือมัทธิว 6:9-13 กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า “ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้ และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดชและพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน” มีคนหลายคนเข้าใจ ผิดว่าคำอธิษฐานของพระเจ้าคือคำอธิษฐานที่เราควรนำมาอธิษฐานคำต่อคำ บางคนคิดว่าคำอฺธิษฐานของพระเจ้าเหมือนเป็นสูตรมหัศจรรย์ ประหนึ่งว่าถ้อยคำเหล่านั้นมีพลังพิเศษหรือมีอิทธิพลต่อพระเจ้าเลยที่เดียว

พระคัมภีร์สอนเรากลับกัน พระเจ้าทรงสนพระทัยหัวใจของเราในขณะที่เราอธิษฐานมากกว่าคำพูดของเรา หนังสือมัทธิว 6:6 สอนเราว่า “ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน” มัทธิว 6:7 พูดต่อไปว่า “แต่เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าพูดพล่อยๆซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติกระทำ เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง” ดังนั้นในการอธิษฐานเราควรเทใจของเราให้กับพระเจ้า (ฟีลิปปี 4:6-7) ไม่ใช่ท่องคำพูดให้พระองค์ฟัง

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คำอธิษฐานของพระเจ้าควรจะเป็นตัวอย่างหรือรูปแบบในการอธิษฐานเท่านั้น คำอธิษฐานของพระเจ้าสอนให้เรารู้จักอธิษฐาน มันช่วยให้เรามี “องค์ประกอบ” ในการอธิษฐานว่าเราควรอธิษฐานอย่างไร คำอธิษฐานของพระเจ้าแยกออกมาได้แบบนี้ “ข้าแต่พระบิดาของแห่งพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์” สอนว่าเราควรอธิษฐานต่อใคร – พระบิดา, “ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ” สอนให้เรานมัสการพระเจ้า และสรรเสริญพระองค์ตามที่พระองค์ทรงเป็น, “ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” เป็นการเตือนให้เรารู้ว่าเราควรอธิษฐานเผื่อแผนการของพระเจ้าในชีวิตของเราและในโลก ไม่ใช่แผนการของเราเอง เราควรอธิษฐานให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จลงไม่ใช่ให้ความต้องการของเราสำเร็จลง “ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้” “และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น” เตือนให้เราสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้าและหันหลังให้กับมันเสีย – แล้วยกโทษให้ผู้อื่นดังเช่นที่พระองค์ทรงยกโทษให้เรา คำสรุปของคำอธิษฐานของพระเจ้าคือ “และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความชั่วร้าย” เป็นคำร้องขอความช่วยเหลือเพื่อที่เราจะได้ชัยชนะความบาป และเป็นการขอการปกป้องคุ้มกันจากการโจมตีของผีมาร

ดังนั้น, ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า, คำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่คำอธิษฐานที่เราจะต้องจำเพื่อท่องกลับคืนให้กับพระเจ้า มันเป็นเพียงตัวอย่างว่าเราควรอธิษฐานอย่างไรเท่านั้น มีอะไรผิดไหมที่เราจะท่องจำคำอธิษฐานของพระเจ้า? ไม่มีแน่นอน! มีอะไรผิดไหมที่เราจะอธิษฐานคำอธิษฐานของพระเจ้ากลับไปหาพระองค์? ไม่มี หากท่านอธิษฐานจากใจของท่านและหมายความอย่างนั้นจริง ๆ จงจำไว้ว่าในการอธิษฐานพระเจ้าทรงสนพระทัยในการที่เราสื่อสารกับพระองค์โดยการพูดออกมาจากใจมากกว่าคำพูดที่เราใช้ หนังสือฟีลิปปี 4:5-7 กล่าวว่า “จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”





คำอธิษฐานของพระเจ้าคืออะไร และเราควรอธิษฐานตามไหม?

ฉันจะทำให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของฉันได้อย่างไร?




คำถาม: ฉันจะทำให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของฉันได้อย่างไร?

คำตอบ:
มีคนหลายคนมองว่า “คำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบ” หมายความว่าพระเจ้าทรงรับฟังและตอบคำอธิษฐานของเรา หากคำอธิษฐานไม่ได้รับคำตอบ บ่อยครั้งเราถือว่าพระเจ้าทรงไม่ตอบคำอธิษฐาน แต่นี่เป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการอธิษฐาน พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานทุกคำอธิษฐานที่มีต่อพระองค์ แต่เราต้องจำไว้ว่าบางครั้งพระเจ้าก็จะทรงตอบว่า “ไม่” หรือ “คอยก่อน” พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะตอบคำอธิษฐานของเราเมื่อเราขอตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:14-15 บอกเราว่า “และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า พระองค์ทรงโปรดฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์”

การอธิษฐานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหมายความว่าอะไร? การอธิษฐานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคือการอธิษฐานขอสิ่งต่าง ๆ ที่จะถวายเกียรติและยกย่องพระเจ้า และ/หรือ การอธิษฐานขอในสิ่งต่าง ๆ ที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเรา หากเราอธิษฐานขออะไรที่ไม่ถวายเกียรติต่อพระองค์หรือไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์สำหรับเรา พระองค์ก็จะทรงไม่ให้ตามที่เราขอ เราจะรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะให้สติปัญญากับเราหากเราขอ หนังสือยากอบ 1:5 บอกว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ” จงเรียนรู้ในสิ่งที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเราให้ดี ยิ่งเราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามากแค่ไหนเราก็จะยิ่งรู้ว่าเราควรจะอธิษฐานว่าอย่างไร ยิ่งเรารู้ว่าเราควรอธิษฐานอย่างไร คำอธิษฐานของเราก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น





ฉันจะทำให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของฉันได้อย่างไร?

เราจะอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไหม? หรือเราควรจะอธิษฐานครั้งเดียวก็พอแล้ว?




คำถาม: เราจะอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไหม? หรือเราควรจะอธิษฐานครั้งเดียวก็พอแล้ว?

คำตอบ:
หนังสือลูกา 18:1-7 กล่าวว่า “พระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง เพื่อสอนว่าคนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ พระองค์ตรัสว่า "ในนครหนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่ง ที่มิได้เกรงกลัวพระเจ้า และมิได้เห็นแก่มนุษย์ ในนครนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาผู้พิพากษาผู้นั้นพูดว่า `ขอให้ความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าในการสู้ความเถิด' ฝ่ายผู้พิพากษานั้นไม่ยอมทำจนช้านาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า `แม้ว่าเราไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์ แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะให้ความยุติธรรมแก่นาง เพื่อมิให้นางมารบกวนบ่อยๆให้เรารำคาญใจ' และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมนี้ได้พูด พระเจ้าจะไม่ทรงประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ พระองค์จะอดพระทัยไว้ช้านานหรือ”

หนังสือลูกา 11:5-13 กล่าวว่า “พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ผู้ใดในพวกท่านมีมิตรสหายคนหนึ่ง และจะไปหามิตรสหายนั้นในเวลาเที่ยงคืนพูดกับเขาว่า `เพื่อนเอ๋ย ขอให้ฉันยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของฉันคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาหาฉัน และฉันไม่มีอะไรจะให้เขารับประทาน' ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า `อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงเดียวกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้' เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นมิตรสหายกัน แต่ว่าเพราะวิงวอนมากเข้า เขาจึงจะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่เขาต้องการ เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา มีผู้ใดในพวกท่านที่เป็นบิดา ถ้าบุตรขอปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์”

ข้อพระคัมภีร์ทั้งสองตอนหนุนใจเกี่ยวกับการอธิษฐาน – และการอธิษฐานต่อไปเรื่อย ๆ ! ไม่มีอะไรผิดในการขอเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก ตราบเท่าที่การขอนั้นเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (1 ยอห์น 5:14-15) จงขอจนกระทั่งพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานหรือทรงเอาภาระใจออกไปจากท่าน บางครั้งพระเจ้าจะทรงบังคับให้เราคอยเพื่อที่จะทรงสอนเราเรื่องความอดทนและความพากเพียร บางครั้งเราก็ขออะไรที่ยังไม่ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงให้เรา บางครั้งเราก็ขออะไรที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเรา และพระองค์ทรงบอกว่าไม่ได้ การอธิษฐานไม่ใช่การนำความต้องการของเรามาเสนอต่อพระองค์เท่านั้น แต่เป็นการทรงสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อเราด้วย จงขอ, หา และเคาะต่อไปจนกว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐาน หรือจนกว่าพระองค์จะทรงบอกว่านั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์สำหรับท่าน





เราจะอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไหม? หรือเราควรจะอธิษฐานครั้งเดียวก็พอแล้ว?

การอธิษฐานในพระนามพระเยซูหมายความว่าอะไร?




คำถาม: การอธิษฐานในพระนามพระเยซูหมายความว่าอะไร?

คำตอบ:
หนังสือยอห์น 14:13-14 สอนเกี่ยวกับการอธิษฐานในพระนามของพระเยซูไว้ว่า “สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่ท่านขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น” มีบางคนเข้าใจผิดและคิดว่าการพูดว่า “ในพระนามพระเยซู” เมื่อจบคำอธิษฐานพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานเสมอ การคิดเช่นนี้เป็นการทำให้คำว่า “ในพระนามพระเยซู” เป็นสูตรสำเร็จที่มหัศจรรย์ แต่มันไม่ตรงกับพระคัมภีร์!

การอธิษฐานในพระนามของพระเยซูหมายถึงการอธิษฐานด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์และเป็นการขอให้พระเจ้าพระบิดาทรงฟังคำอธิษฐานเนื่องจากเราเข้ามาหาพระองค์ในพระนามของพระเยซู, พระบุตรของพระองค์ การอธิษฐานในพระนามของพระเยซูมีความหมายเดียวกับการอธิษฐานตามน้ำพระทัยของพระเจ้า “และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า พระองค์ทรงโปรดฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์” (1 ยอห์น 5:14-15) การอธิษฐานในพระนามของพระเยซูคือการอธิษฐานขอในสิ่งที่จะถวายเกียรติและยกย่องพระเยซู

การต่อท้ายด้วยคำว่า “ในพระนามพระเยซู” ตอนจบคำอธิษฐานไม่ใช่สูตรสำเร็จที่มหัศจรรย์ หากสิ่งที่เราอธิษฐานขอไม่ได้เป็นไปเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าหรือตามน้ำพระทัยของพระองค์ การพูดว่า “ในพระนามพระเยซู” ก็ไม่มีความหมาย การอธิษฐานในพระนามพระเยซูอย่างจริงใจ เพื่อถวายพระสิริแด่พระองค์คือสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การแถมคำพูดบางคำไว้ตอนท้ายคำอธิษฐาน คำพูดที่ใช้ในการอธิษฐานไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่วัตุประสงค์ในการอธิษฐานคือเรื่องสำคัญ การอธิษฐานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคือสิ่งสำคัญในการอธิษฐานในพระนามของพระเยซู





การอธิษฐานในพระนามพระเยซูหมายความว่าอะไร?

การอธิษฐานกลุ่มสำคัญไหม? การอธิษฐานกลุ่มมีพลังมากกว่าการอธิษฐานเดี่ยวไหม?




คำถาม: การอธิษฐานกลุ่มสำคัญไหม? การอธิษฐานกลุ่มมีพลังมากกว่าการอธิษฐานเดี่ยวไหม?

คำตอบ:
การอธิษฐานกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญของคริสตจักรพอ ๆ กับการนมัสการ, การมีหลักคำสอนที่หนักแน่น, การทำพิธีศีลมหาสนิท, และการมีสามัคคีธรรมร่วมกัน คริสตจักรในยุคแรกเริ่มพบกันเป็นประจำเพื่อฟังคำสอนของอัครทูต, หักขนมปังและอธิษฐานด้วยกัน (กิจการ 2:42) ตั้งแต่หลังจากที่พระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ (กิจการ 1:14) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเราอธิษฐานร่วมกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ ผลที่ได้มีความเป็นบวกสูงมาก การอธิษฐานร่วมกัน, มีความเชื่อร่วมกัน, ช่วยเสริมสร้างและหลอมรวมเราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกันผู้ทรงอยู่ในพวกเราผู้เชื่อทุกคนจะทรงทำให้หัวใจของเรามีความชื่นชมยินดีเมื่อเราได้ยินคำสรรเสริญพระเจ้าและองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา, สายใยแห่งสามัคคีธรรมจะถักทอเราเข้าไว้ด้วยกันอย่างที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในชีวิต

สำหรับผู้ที่อยู่ตามลำพังและมีปัญหาในชีวิต การได้ยินผู้อื่นล่องลอยขึ้นไปสู่พระที่นั่งแห่งพระคุณอาจเป็นการหนุนใจที่ดีได้ เมื่อเราอธิษฐานเผื่อคนอื่น มันจะทำให้เรารักและห่วงใยซึ่งกันและกันด้วย นอกจากนั้นการอธิษฐานกลุ่มยังช่วยสอนให้ผู้เชื่อใหม่รู้จักอธิษฐานและช่วยให้เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อื่นในพระกายของพระคริสต์ด้วย ในเวลาเดียวกันการอธิษฐานกลุ่มยังเป็นการสะท้อนหัวใจของผู้ที่อธิษฐานออกมาด้วย เราควรจะเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความถ่อม (ยากอบ 4:10), ความจริง, (สดุดี 145:18) และการเชื่อฟัง (1 ยอห์น 3:21-22), ด้วยในโมทนาพระคุณ (ฟีลิปปี 4:6) และความมั่นใจ (ฮีบรู 4:16) แต่เป็นที่น่าเสียใจว่าในบางครั้งการอธิษฐานกลายเป็นเวทีสำหรับผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจจะอธิษฐานกับพระเจ้าแต่อยากอธิษฐานอวดคนอื่นแทน พระเยซูทรงเตือนคนที่มีความประพฤติเช่นนั้นไว้ในหนังสือมัทธิว 6:5-8 ว่าไม่ให้เราอธิษฐานเพื่ออวดคนอื่น, เยิ่นเย้อ, หรือหน้าซื่อใจคด แต่ให้อธิษฐานอย่างลับ ๆ อยู่ในห้องของเราเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการทดลอง

ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่บอกว่าการอธิษฐานกลุ่มมี “พลังมากกว่า” การอธิษฐานเดี่ยวเมื่อพูดถึงการขอให้พระเจ้าเคลื่อน แต่มีคริสเตียนเป็นจำนวนมากคิดว่าการอธิษฐานคือการ “ขอสิ่งที่เราอยากได้จากพระเจ้า” และการอธิษฐานกลุ่มกลายเป็นการเน้นการท่องรายการสิ่งที่เราอยากได้เป็นส่วนใหญ่ การอธิษฐานตามแนวพระคัมภีร์ประกอบด้วยหลายด้าน ซึ่งเป็นการโน้มนำความปรารถนาทั้งหมดเข้าไปหาพระเจ้าของเราผู้ทรงบริสุทธิ์, บริบูรณ์ และชอบธรรม อย่างมีสติและด้วยความรู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์ พระเจ้าแบบนี้แหละที่จะทรงเอียงพระกรรณฟังผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาเทเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญและยกย่องพระองค์ (สดุดี 27:4; 63:1-8), กลับใจใหม่และสารภาพบาปจากความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง ๆ (สดุดี 51; ลูกา 18:9-14), แสดงความรู้สึกถึงพระคุณ, โมทนาพระคุณ(ฟีลิปปี 4:6; โคโลสี 1:12) และอธิษฐานวิงวอนเผื่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ (2 เธสะโลนิกา 1:11; 2:16)

คำอธิษฐานขอให้ตัวเองไม่มีอยู่ในคำอธิษฐานของอาจารย์เปาโลหรือของพระเยซู เว้นเสียแต่ว่าพระองค์หรืออาจารย์เปาโลจะแถลงความปรารถนาของตนเองเท่านั้น แต่จะขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอ (มัทธิว 26:39; 2 โครินธ์ 12:7-9) ดังนั้น คำอธิษฐานคือการร่วมมือกับพระเจ้าในการทำให้น้ำพระทัยของพระองค์ สำเร็จลง ไม่ใช่เป็นการโน้มน้าวให้พระองค์ทรงทำตามใจเรา เมื่อเรายอมทิ้งความปรารถนาของเราเองและยอมจำนนต่อพระผู้ทรงรู้ถึงสถานการณ์ของเรามากกว่าที่เรารู้เสียอีก เพราะพระองค์ “ทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” (มัทธิว 6:8), คำอธิษฐานของเราก็จะขึ้นไปสู่ระดับสูงที่สุด ดังนั้นคำอธิษฐานที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะได้รับคำตอบเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคำอธิษฐานของคนหนึ่งคนหรือพันคนก็ตาม นี่คือพลังแห่งการอธิษฐานที่แท้จริง

ความคิดที่ว่าคำอธิษฐานกลุ่มจะเคลื่อนพระเจ้าได้มากกว่า ส่วนใหญ่มาจากการตีความหมายข้อพระคัมภีร์มัทธิว 18:19-20 ผิด “เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้ ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น” ข้อพระคัมภีร์นี้มาจากบริบทที่ใหญ่กว่าที่พูดถึงหลักการที่คริสตจักจะต้องทำในกรณีที่จะต้องสอนสมาชิกที่ทำผิดบาป การตีความหมายข้อพระคัมภีร์นี้เหมือนกับเป็นการขอให้พระเจ้าเซ็นเช็คเปล่าให้เราสำหรับอะไรก็ได้ที่เราต้องการ, ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องบาปหรือโง่เขลาเพียงไหน, การตีความหมายแบบนี้ไม่เพียงแต่ไม่เข้ากับการสั่งสอนอบรมของคริสตจักรแล้ว มันยังเป็นการไม่ยอมรับข้อพระคัมภีร์ที่เหลือด้วย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และพระดำรัสสั่งหลายข้อที่สั่งให้ผู้เชื่อจำนนและเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่กลับกัน

นอกจากนั้น การที่เชื่อว่าเมื่อ “มีคนสองสามคน” อธิษฐานร่วมกัน มันจะเกิดพลังวิเศษขึ้นมาโดยอัตโนมัติเป็นเรื่องไร้สาระ แน่นอนพระเยซูจะทรงอยู่ท่ามกลางคนสองสามคนที่จับกลุ่มกันอธิษฐาน แต่พระองค์ก็ทรงอยู่กับผู้เชื่อที่อธิษฐานแต่เพียงลำพังด้วยเช่นกัน ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะอยู่ห่างจากคนอื่นเป็นพัน ๆ ไมล์ก็ตาม การตีความหมายข้อพระคัมภีร์นี้ผิดแสดงให้เราเห็นว่าทำไมมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องอ่านและเข้าใจความหมายทั้งบริบทและทั้งเล่ม





การอธิษฐานกลุ่มสำคัญไหม? การอธิษฐานกลุ่มมีพลังมากกว่าการอธิษฐานเดี่ยวไหม?