คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์



คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์





คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์

พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรเกี่ยวกับการนัดเที่ยว/การเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว?




คำถาม: พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรเกี่ยวกับการนัดเที่ยว/การเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว?

คำตอบ:
แม้คำว่า “จีบกัน” และ “ออกเดทกัน” จะไม่มีในพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ให้หลักการไว้สำหรับคริสเตียนว่าเขาควรจะประพฤติตัวอย่างไรก่อนแต่งงาน ประการแรกคือเราจะต้องไม่คิดแบบคนทั่วไป เพราะวิธีของพระเจ้าไม่เหมือนกับวิธีของโลก (2 เปโตร 2:20) สังคมบอกว่าเราควรจะเดทกับเพศตรงข้ามให้มากที่สุดเท่าที่เราต้องการ มีแฟนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่แทนที่จะทำเช่นนั้นเราจะต้องรู้ว่าเราควรจะคบกับคนประเภทไหน ก่อนที่เราจะสานสัมพันธ์ต่อไปเราควรดูว่าเขาคนนั้นบังเกิดใหม่หรือเปล่า (ยอห์น 3:3-8) และเขาอยากจะเป็นเหมือนพระคริสต์อย่างเราหรือเปล่า (ฟีลิปปี 2:5) ทำไม่เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญในการหาคู่ครอง? มันสำคัญเพราะว่าคริสเตียนควรระวังที่จะไม่แต่งงานกับผู้ไม่เชื่อ (2 โครินธ์ 6:14-15) เนื่องจากมันจะทำให้ความสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้าอ่อนลง หรือท่านอาจจะอะลุ้มอะหล่วยกับมาตรฐานทางคุณธรรมก็เป็นได้

เมื่อคน ๆ หนึ่งตัดสินใจที่จะผูกพันกับอีกคนหนึ่ง สิ่งสำคัญที่เขาควรจะจำไว้คือเขาจะต้องรักพระเจ้ามากกว่ารักคนอื่น (มัทธิว 10:37) การพูดว่าคน ๆ นั้นเป็น “ทุกสิ่ง” หรือมีความสำคัญที่สุดในชีวิตของท่านคือการกราบไหว้รูปเคารพซึ่งเป็นความบาป (กาลาเทีย 5:20, โคโลสี 3:5) อีกประการหนึ่งก็คือจงอย่าทำให้ร่างกายของท่านเป็นมลทินด้วยการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน (1 โครินธ์ 6:9, 13, 2 ทิโมธี 2:22) การทำผิดทางเพศไม่เป็นแต่เพียงการทำบาปต่อพระเจ้าแต่เป็นการทำบาปต่อตัวเองด้วย (1 โครินธ์ 6:18) เรื่องสำคัญคือท่านจะต้องรักและให้เกียรติผู้อื่นเหมือนท่านรักตนเอง (โรม 12:9-10) และความจริงนี้รวมถึงการติดต่อคบหาสมาคมกับเพื่อนต่างเพศไปจนถึงการแต่งงานด้วย การทำตามหลักของพระคัมภีร์เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการมีชีวิตแต่งงานที่มั่นคง การตัดสินใจแต่งงานเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญของท่านเพราะเมื่อคนสองคนแต่งงานกันแล้ว เขาทั้งสองจะผูกพันกันและกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งควรจะเป็นการผูกพันตลอดไป โดยไม่มีการแยกจากกัน (ปฐมกาล 2:24, มัทธิว 19:5)





พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรเกี่ยวกับการนัดเที่ยว/การเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว?

ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังตกอยู่ในความรัก?




คำถาม: ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังตกอยู่ในความรัก?

คำตอบ:
ธรรมชาติมนุษย์ของเราบอกว่าความรักไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าความรู้สึกในอารมณ์ เราตัดสินใจตามอารมณ์ของเรา แม้แต่การแต่งงาน เราแต่งงานก็เพราะเรา “ตกอยู่ในความรัก” นี่คือเหตุผลว่าทำไมประมาณครึ่งหนึ่งของการแต่งงานครั้งแรกจึงจบลงด้วยการหย่าร้าง พระคัมภีร์สอนว่าความรักที่แท้จริงไม่ใช่เป็นความรู้สึกทางอารมณ์ที่เดี๋ยวรักเดี๋ยวไม่รัก แต่เป็นการตัดสินใจ เราไม่ใช่เพียงแต่จะรักคนที่รักเราเท่านั้น แต่เราควรรักคนที่เกลียดเราด้วย แบบเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคนที่ไม่น่ารัก (ลูกา 6:35) “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” (1 โครินธ์ 13:4-7)

มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตกหลุมรักใครสักคนหนึ่ง แต่ท่านจะต้องถามตัวเองสักสองสามคำถามก่อนที่จะตัดสินใจว่า “เรด้าแห่งความรัก” ของท่านนำท่านไปในทางที่ถูกต้องหรือเปล่า คำถามแรกคือ คน ๆ นั้นเป็นคริสเตียนหรือเปล่า ซึ่งหมายความว่าเขาได้มอบชีวิตของเขาให้พระคริสต์และวางใจในพระองค์แต่เพียงผู้เดียวสำหรับความรอดของเขาหรือเปล่า? หากคน ๆ หนึ่งกำลังคิดที่จะมอบใจและความรู้สึกของเขาให้กับใครสักคนหนึ่ง เขาควรถามตัวเองก่อนว่าเขาเต็มใจที่จะให้ความสำคัญกับคน ๆ นั้นมากกว่าคนอื่นไหม และเมื่อแต่งงานกันแล้ว เขาพร้อมที่จะทำให้ความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญเป็นที่สองรองลงมาจากความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้าไหม? พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อคนสองคนแต่งงานกัน เขาทั้งสองก็จะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน (ปฐมกาล 2:24, มัทธิว 19:5)

อีกประการหนึ่งที่ท่านควรพิจารณาคือ เขาเหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของท่านหรือไม่ เขาให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเขาหรือไม่? เขาสามารถให้เวลาและมีความพยายามในการที่จะทำให้ความสัมพันธ์หรือชีวิตสมรสยืนยาวตลอดชั่วชีวิตไหม? เขาเป็นคนที่ตัวเองอยากแต่งงานด้วยไหม? การที่จะรู้ว่าตอนนี้เรากำลังตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งหรือไม่ ไม่มีสายวัดอะไรมาวัดได้ แต่มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องรู้ว่าเรากำลังทำตามความรู้สึกของเรา หรือกำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อชีวิตเรา





ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังตกอยู่ในความรัก?

พระคัมภีร์พูดไว้ว่าอย่างไรเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน/ก่อนแต่งงาน?




คำถาม: พระคัมภีร์พูดไว้ว่าอย่างไรเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน/ก่อนแต่งงาน?

คำตอบ:
จากการกระทำที่เสื่อมศีลธรรมทางเพศต่าง ๆ พระคัมภีร์ตำหนิการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานซ้ำแล้วซ้ำอีก (กิจการ 15:20; โรม 1:29; 1 โครินธ์ 5:1; 6:13,18; 7:2; 10:8; 2 โครินธ์ 12:21; กาลาเทีย 5:19; เอเฟซัส 5:3; โคโลสี 3:5; 1 เธสะโลนิกา 4:3; ยูดา บทที่ 7) พระคัมภีร์สนับสนุนให้ละเว้นการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นสิ่งที่ผิดพอ ๆ กับ การเล่นชู้และการทำความผิดทางเพศอื่น ๆ เพราะเป็นการเกี่ยวข้องทางเพศกับคนที่ท่านไม่ได้แต่งงานด้วย เพศสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาเท่านั้นคือความสัมพันธ์ทางเพศอย่างเดียวที่พระเจ้าทรงอนุมัติ (ฮีบรู 13:4)

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปด้วยเหตุผลหลายประการ บ่อยครั้งจนเกินไปที่เราจดจ่ออยู่ที่ “ความเพลิดเพลินใจ” ทางเพศโดยลืมคิดถึงเรื่อง “การถูกสร้างขึ้นมาใหม่” แน่นอนเพศสัมพันธ์ให้ความพึงพอใจ พระเจ้าทรงสร้างให้มันเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ชายและหญิงได้รับความพึงพอใจในกิจกรรมทางเพศ (ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตแห่งการสมรส) แต่แท้จริงแล้ววัตถุประสงค์ดั้งเดิมของการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เพื่อความเพลิดเพลินใจ แต่เพื่อการสืบพันธ์ พระเจ้าทรงไม่อนุญาตให้คนเรามีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรสไม่ใช่เพราะทรงมีพระประสงค์ที่จะกันเราไว้ไม่ให้ได้รับความเพลิดเพลินใจ แต่เพื่อปกป้องเราไว้จากการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการ และเพื่อไม่ให้มีเด็กเกิดมาโดยที่ไม่เป็นที่ต้องการของพ่อแม่ หรือพ่อแม่ไม่พร้อม ให้เราลองวาดภาพดูว่าโลกเราจะดีขึ้นแค่ไหนหากทุกคนทำตามแผนการของพระเจ้าทางด้านเพศสัมพันธ์ – เช่น โรคติดต่อทางเพศน้อยลง, แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกโดยลำพังโดยไม่ได้แต่งงานน้อยลง, การตั้งครรย์ที่ไม่ต้องการน้อยลง, การทำแท้งน้อยลง ฯลฯ การละเว้นทางเพศเป็นนโยบายเดียวของพระเจ้าเมื่อพูดถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส การละเว้นทางเพศเป็นการช่วยชีวิต, ปกป้องทารก, ทำให้ความสัมพันธ์ทางเพศมีคุณค่า, และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า





พระคัมภีร์พูดไว้ว่าอย่างไรเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน/ก่อนแต่งงาน?

ชายและหญิงควรมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันแค่ไหนก่อนแต่งงานจึงจะเหมาะสม?




คำถาม: ชายและหญิงควรมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันแค่ไหนก่อนแต่งงานจึงจะเหมาะสม?

คำตอบ:
หนังสือเอเฟซัส 5:3 บอกเราว่า “แต่การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่างๆ … อย่าให้มีขึ้นในพวกท่านเลยจะได้สมกับที่ท่านเป็นวิสุทธิชน” อะไรที่ “บ่งชี้” ไปถึงการผิดศีลธรรมทางเพศก็ไม่เหมาะสมทั้งสิ้นสำหรับคริสเตียน พระคัมภีร์ไม่ได้แจกแจง “รายการ” ว่าอะไรเข้าข่ายว่าเป็น “ข้อบ่งชี้” หรือบอกเราอย่างชัดเจนว่ากิจกรรมฝ่ายร่างกายอะไรบ้างที่ได้รับการอนุมัติให้คู่รักทำได้ก่อนแต่งงาน แต่ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้อย่างชัดเจนก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงอนุญาตกิจกรรมที่ “นำไปสู่กิจกรรมทางเพศ” ก่อนสมรส ตามความเป็นจริงคือ “การอุ่นเครื่อง” คือการเตรียมท่านให้ “พร้อม” เพื่อการมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง ดังนั้นตามเหตุผลที่เหมาะสมแล้ว “การอุ่นเครื่อง” ควรเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับคู่สมรสเท่านั้น ดังนั้นสิ่งใดที่เข้าข่ายว่าเป็นการ “อุ่นเครื่อง” คู่รักควรหลีกเลี่ยงจนกว่าเขาทั้งสองจะได้สมรสกันแล้วเท่านั้น (ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะมาพูดกันอย่างเจาะจงที่นี่)

กิจกรรมทางเพศทุกประการควรเป็นเรื่องของคู่สมรสเท่านั้น แล้วคู่รักใกล้สมรสควรทำอย่างไร? คู่รักใกล้สมรสควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่นำเขาทั้งสองไปสู่การมีกิจกรรมทางเพศที่ส่อไปถึงการล่วงประเวณี หรือการ “อุ่นเครื่อง” โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าขอแนะนำอย่างจริงจังว่าคู่รักไม่ควรทำอะไรมากไปกว่าการจับมือ, กอด, และจุมพิตกันเบา ๆ ก่อนสมรส ยิ่งเมื่อแต่งงานแล้วคู่สมรสได้แบ่งปันความรู้สึกส่วนตัวระหว่างกันมากแค่ไหน ความสัมพันธ์ทางเพศในชีวิตสมรสระหว่างเขาทั้งสองก็จะมีความพิเศษมากขึ้นเท่านั้น





ชายและหญิงควรมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันแค่ไหนก่อนแต่งงานจึงจะเหมาะสม?

การที่คริสเตียนจะออกเดทหรือแต่งงานกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?




คำถาม: การที่คริสเตียนจะออกเดทหรือแต่งงานกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?

คำตอบ:
ข้อพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 6:14 กล่าวว่า “ท่านอย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรม และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร” แม้ว่าข้อพระคัมภีร์นี้ไม่ได้พูดเกี่ยวกับการสมรสโดยตรง แต่แน่นอนว่ามันสามารถนำมาใช้เกี่ยวกับการสมรสได้ด้วย “พระคริสต์กับเบลีอัลจะลงรอยกันอย่างไรได้ หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า `เราจะอยู่ในเขาทั้งหลาย และจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา' พระเจ้าตรัสว่า `เหตุฉะนั้นเจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย อย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย” (2 โครินธ์ 6:15-17)

พระคัมภีร์พูดต่อไปว่า “อย่าหลงเลย การคบคนชั่วย่อมเสียนิสัย” (1 โครินธ์ 15:33) การมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ไม่เชื่อสามารถกลายเป็นสิ่งกีดขวางการเดินของท่านกับพระคริสต์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เราถูกเรียกให้ประกาศกับผู้หลงหาย ไม่ใช่ให้ไปมีความสัมพันธ์ขั้นลึกล้ำกับพวกเขา การสร้างสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้ไม่เชื่อไม่มีอะไรผิด – แต่ไม่ควรก้าวไปไกลกว่านั้น หากท่านกำลังเดทกับผู้ไม่เชื่อ อะไรคือความสำคัญอันดับแรกของท่าน – การได้ใจเขามาให้ท่านหรือการได้จิตวิญญาณเขามาให้พระคริสต์? หากท่านแต่งงานกับผู้ไม่เชื่อ ท่านและเขาจะสร้างความผูกพันฝ่ายวิญญาณกันได้อย่างไร? ท่านจะมีชีวิตสมรสที่มีคุณภาพได้อย่างไรหากท่านมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องที่สำคัญที่สุดในจักรวาล – องค์พระเยซูคริสต์?





การที่คริสเตียนจะออกเดทหรือแต่งงานกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?

พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการแต่งงานข้ามเชื้อชาติไว้ว่าอย่างไร?




คำถาม: พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการแต่งงานข้ามเชื้อชาติไว้ว่าอย่างไร?

คำตอบ:
กฎบัญญัติในพันธสัญญาเดิมสั่งคนอิสราเอลไม่ให้แต่งงานกับคนต่างชาติ (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:3-4) เหตุผลก็คือว่าคนอิสราเอลอาจถูกนำให้ออกห่างจากพระเจ้าหากพวกเขาแต่งงานกับคนที่กราบไหว้รูปเคารพ, คนนอกศาสนา หรือ คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พันธสัญญาใหม่มีหลักการที่คล้ายกันแต่ต่างระดับกว่า คือ “ท่านอย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรม และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร?” (2 โครินธ์ 6:14) เช่นเดียวกับที่คนอิสราเอล (ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว) ถูกสั่งห้ามไม่ให้แต่งงานกับผู้ที่ไม่เชื่อ คริสเตียน (ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว) ก็ถูกสั่งไม่ให้แต่งงานกับผู้ที่ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน ดังนั้นคำตอบ คือ ไม่เลย พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าการแต่งงานข้ามเชื้อชาติเป็นความผิด

คนเราควรถูกตัดสินเพราะความประพฤติของเขา ไม่ใช่สีผิว เราทุกคนควรระวังที่จะไม่แสดงการเลือกที่รักมักที่ชังหรือเหยียดสีผิว ต่อผู้อื่น (ยากอบ 2:1-10 ดู ข้อ 1 และ 9 เป็นพิเศษ) มาตรฐานของคริสเตียนทั้งชายและหญิงในการเลือกคู่ครองควรอยู่ที่การดูว่าคนที่เราสนใจอยู่นั้นเป็นคริสเตียนหรือไม่ (2 โครินธ์ 6:14) บังเกิดใหม่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์หรือไม่ (ยอห์น 3:3-5) มาตรฐานของพระคัมภีร์ในการเลือกคู่สมรส คือ ความเชื่อในพระคริสต์, ไม่ใช่สีผิว การแต่งงานข้ามเชื้อชาติไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือถูก แต่เป็นเรื่องของสติปัญญา, วิจารณญาณ, และการอธิษฐาน

เหตุผลเดียวที่การแต่งงานข้ามเชื้อชาติควรได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน คือ ความยุ่งยากที่คู่สมรสอาจจะต้องเจอเพราะคนอื่นอาจจะรับเขาทั้งคู่ได้ยาก คู่สมรสข้ามเชื้อชาติหลายคู่เจอการเหยียดสีผิวและการดูถูก ซึ่งบางครั้งรวมไปถึงครอบครัวของตัวเองด้วย นอกจากนั้นบางครั้งคู่สมรสข้ามเชื้อชาติอาจเจอปัญหาเมื่อลูกที่เกิดมามีสีผิวไม่เหมือนกับสีผิวของพ่อแม่หรือพี่น้อง ดังนั้นคู่รักข้ามเชื้อชาติจึงจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้และเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมันหากเขาต้องการจะแต่งงานกัน ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าพระคัมภีร์มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการสมรสของคริสเตียนเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์เท่านั้นเอง





พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการแต่งงานข้ามเชื้อชาติไว้ว่าอย่างไร?

การที่หญิงกับชาย ‘อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา’ หรืออยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานผิดไหม?




คำถาม: การที่หญิงกับชาย ‘อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา’ หรืออยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานผิดไหม?

คำตอบ:
คำตอบสำหรับคำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าการ “อยู่ด้วยกัน” หมายความว่าอย่างไร ถ้าหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว ผิดแน่นอน พระคัมภีร์ตำหนิการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานรวมถึงการผิดศีลธรรมทางเพศทุกรูปแบบ (กิจการ 15:20; โรม 1:29; 1 โครินธ์ 5:1; 6:13,18; 7:2; 10:8; 2 โครินธ์ 12:21; กาลาเทีย 5:19; เอเฟซัส 5:3; โคโลสี 3:5; 1 เธสะโลนิกา 4:3; ยูดา 7) พระคัมภีร์สนับสนุนการละเว้นเพศสัมพันธ์โดยสิ้นเชิงนอกสมรส (และก่อนการสมรส) เพศสัมพันธ์ก่อนการสมรสเป็นความผิดพอ ๆ กับการผิดประเวณี และการผิดศีลธรรมทางเพศทุกรูปแบบ เพราะเป็นการเกี่ยวข้องทางด้านเพศกับคนที่ท่านไม่ได้แต่งงานด้วย

หาก “การอยู่ด้วยกัน” หมายถึงการอยู่ในบ้านเดียวกันเท่านั้น มันอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การที่หญิงกับชายอยู่ด้วยกันในบ้านเดียวกัน ไม่มีอะไรผิด – หากไม่มีการผิดศีลธรรมทางเพศ แต่ปัญหาคือมันยังมีภาพพจน์ของการผิดศีลธรรมทางเพศอยู่ (1 เธสะโลนิกา 5:22; เอเฟซัส 5:3) และมันเป็นการเปิดโอกาสให้กับการผิดศีลธรรมทางเพศ พระคัมภีร์บอกให้เราหนีให้ไกลจากการเสื่อมศีลธรรมทางเพศ ไม่ให้เราเปิดโอกาสให้กับการทดลองทางเพศที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา (1 โครินธ์ 6:18) แล้วยังมีปัญหาเกี่ยวกับภาพพจน์อีกต่างหาก ชายและหญิงที่อยู่ด้วยกันจะถูกคิดว่าหลับนอนด้วยกัน – มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะคิดเช่นนั้น แม้ว่าการอยู่บ้านเดียวกันจะไม่ใช่ความบาปในตัวมันเอง แต่มันทำให้เกิดภาพลักษณ์ของความบาปในสายตาของคนอื่น พระคัมภีร์บอกให้เราเว้นเสียจากสิ่งที่ดูเหมือนชั่วทุกอย่าง (1 เธสะโลนิกา 5:22; เอเฟซัส 5:3) และอยู่ให้ห่างไกลจากสิ่งที่ผิดศีลธรรมและไม่ทำให้ใครสะดุดหรือขุ่นเคืองใจ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าหากหญิงและชายจะอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน





การที่หญิงกับชาย ‘อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา’ หรืออยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานผิดไหม?

ฉันจะเตรียมตัวเพื่อแต่งงานได้อย่างไร?




คำถาม: ฉันจะเตรียมตัวเพื่อแต่งงานได้อย่างไร?

คำตอบ:
วิธีเตรียมตัวสำหรับการแต่งงานตามแนวพระคัมภีร์ก็เหมือนกับวิธีเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องสำคัญอื่น ๆ ในชีวิต มันเป็นหลักการที่ควรนำมาใช้ในชีวิตทุกด้านในฐานะผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ หลักการที่ว่านี้ก็คือ “… จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” (มัทธิว 22:37)

นี่ไม่ใช่คำสั่งเล่น ๆ แต่เป็นศูนย์กลางของชีวิตเราในฐานะผู้เชื่อ มันเป็นการเลือกที่จะจดจ่ออยู่กับพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์ ด้วยหมดใจของเราเพื่อที่ทั้งจิตใจและความคิดของเราจะเต็มไปด้วยสิ่งที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าโดยทางองค์พระเยซูคริสต์คือสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์อื่น ๆ ของเราเข้ารูปเข้ารอย ความสัมพันธ์ของคู่สมรสเป็นความสัมพันธ์ตามรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์และคริสตจักร (เอเฟซัส 5:22-33) ทุกแง่มุมของชีวิตของเราเป็นไปตามการตัดสินใจที่จะเดินและมีชีวิตอยู่ “ตามที่พระเจ้าตรัส” การเชื่อฟังพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ทำให้เรามีเครื่องมือที่ช่วยทำให้บทบทของเราที่พระเจ้าทรงมอบหมายและแต่งตั้งไว้ในชีวิตสมรส และในโลกนี้สำเร็จลง และบทบาทของผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ทุกคนคือการถวายเกียรติพระเจ้าในทุกกรณี (1 โครินธ์ 10:31)

ดังนั้นคำตอบของข้าพเจ้าคือในการเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานของท่าน จงทำตัวให้สมกับการทรงเรียกในพระเยซูคริสต์ และจงติดสนิทกับพระเจ้าด้วยการศึกษาพระวจนะของพระองค์ จงเชื่อฟังพระองค์ในทุกสิ่ง การเชื่อฟังพระเจ้าไม่มีวิธีง่าย ๆ แบบการเรียน ก ไก่ ข ไข่ แต่เป็นการเลือกทุกวันที่จะทิ้งมุมมองแบบของโลกและทำตามมุมมองของพระเจ้าแทน การใช้ชีวิตให้สมกับคุณค่าของพระคริสต์คือการยอมจำนนด้วยใจถ่อมต่อ “ทางนั้น, ความจริง, และชีวิต” เป็นประจำ วันต่อวัน และนาทีต่อนาที นี่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับผู้เชื่อทุกคนเพื่อรับของขวัญที่ยิ่งใหญ่นี้ที่เราเรียกว่าชีวิต

คนที่โตฝ่ายวิญญาณและเดินไปกับพระเจ้าจะเตรียมตัวได้พร้อมกว่าคนอื่น การแต่งงานเรียกร้องความผูกพัน, ความเสน่หา, ความถ่อม และความเคารพ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้จะเห็นได้ชัดในคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า ในขณะที่ท่านเตรียมตัวแต่งงาน จงอนุญาตให้พระเจ้าปั้นแต่งท่านให้เป็นคนที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ท่านเป็น หากท่านยอมจำนนต่อพระองค์ พระองค์ก็จะทรงนำท่านให้พร้อมสำหรับการแต่งงานเมื่อวันที่แสนอัศจรรย์นั้นมาถึง!





ฉันจะเตรียมตัวเพื่อแต่งงานได้อย่างไร?

เนื้อคู่มีจริงไหม? พระเจ้าทรงมีใครคนหนึ่งเตรียมไว้ให้เป็นคู่สมรสของฉันไหม?




คำถาม: เนื้อคู่มีจริงไหม? พระเจ้าทรงมีใครคนหนึ่งเตรียมไว้ให้เป็นคู่สมรสของฉันไหม?

คำตอบ:
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่ามีคู่ที่ถูกเตรียมว้าอย่างเจาะจงสำหรับแต่ละคน มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าใจทางของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ เรารู้ว่าพระองค์ทรงรู้จักเราก่อนที่เราจะเกิดมาเสียอีก “เราได้รู้จักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะให้แก่บรรดาประชาชาติ” (เยเรมีห์ 1:5) พระองค์ทรงรู้ว่าเราจะตัดสินใจเลือกอะไร และทรงรู้ว่าเราจะหันมาหาพระองค์หรือไม่ (โรม 8:29-30) พระองค์ทรงรู้ถึงจำนวนผมทุกเส้นบนศีรษะของเรา (มัทธิว 10:30) หากเราถวายตัวกับพระเจ้า และแสวงหาการทรงนำของพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะนำเรา “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น” (สุภาษิต 3:5-6)

คนเรามักจะเลือกอะไรที่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอ – คริสเตียนหรือไม่ใช่คริสเตียนเป็นเหมือนกันหมด – ดังนั้นหากพระเจ้าทรงวางแผนไว้ว่าเราเป็นคู่ของคน ๆ หนึ่ง แต่เราพลาดโอกาสนั้นไป แผนการในชีวิตของเราก็จะต้องพังพินาศไป แต่พระคัมภีร์บอกว่าแม้แต่แผนการที่ “เขลา” ที่สุดของพระเจ้าก็ยังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ (1 โครินธ์ 1:25) ซึ่งหมายความว่าแผนการของพระองค์ไม่สามารถถูกกำจัดให้ออกไปจากเส้นทางได้ เมื่อเราตัดสินใจที่จะติดตามพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์จะทรงนำคนที่ถูกต้องเหมาะสมและสถานการณ์ที่ถูกต้องเหมาะสมเข้ามาในวิถีชีวิตของเราเพื่อที่จะทรงปั้นเราให้เป็นคนที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เราเป็น แม้ว่าคนที่เป็นคริสเตียนจะแต่งงานกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนก็ตาม พระเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะทำการอัศจรรย์และเปลี่ยนชีวิตของผู้นั้นได้ เรา, ในฐานะมนุษย์, มักจะทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งเหยิง แต่พระเจ้า, ในพระปัญญาและพระคุณที่เราสุดหยั่งถึง, ทรงสามารถนำเราออกมาจากความยุ่งเหยิงนั้นได้หากเราแสวงหาพระองค์

แม้ว่าในปัจจุบันเกือบทุกคนได้แต่งงาน แต่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ทุกคนแต่งงาน ท่านอาจารย์เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ทุกคนก็ได้รับของประทานจากพระเจ้าเหมาะกับตัว คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น” (1 โครินธ์ 7:7) ของประทานทั้งสองชนิดนี้ไม่ใช่ว่าอันหนึ่งดีกว่าอีกอันหนึ่ง แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ทุกคนอยู่เป็นโสด หากเป็นเช่นนั้นมันคงจะหมายความว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ประชากรโลกหมดสิ้นลง และพระองค์ไม่ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ทุกคนแต่งงานเพราะบางคนอยู่เป็นโสดก็จะดีกว่า เราทุกคนปรนนิบัติพระเจ้าแตกต่างกัน ไม่ว่าเราจะปรนนิบัติพระองค์ในทางไหน พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะเป็นจุดศูนย์กลางของเรา หากเราแสวงหาทางของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงนำเราไปในทางที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เราไป และจะทรงอวยพรชีวิตของเราในขณะที่เราทำงานของพระองค์





เนื้อคู่มีจริงไหม? พระเจ้าทรงมีใครคนหนึ่งเตรียมไว้ให้เป็นคู่สมรสของฉันไหม?