• คำถามเกี่ยวกับการทรงสร้าง



    คำถามเกี่ยวกับการทรงสร้าง

    พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรระหว่างการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการ?
  • โลกมีอายุกี่ปีแล้ว? โลกมีอายุเท่าไหร่?
  • น้ำท่วมสมัยโนอาห์ เป็นน้ำท่วมโลกหรือเฉพาะที่?
  • ทฤษฎีการสร้างโดยมีผู้ออกแบบคืออะไร?
  • ความเชื่อในพระเจ้าและวิทยาศาสตร์ขัดแย้งกันไหม?
  • ทำไมพระเจ้าจึงทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วมาไว้ในสวนเอเดน?
  • พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้ว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์มีไดโนเสาร์หรือไม่?


  • กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คำถามเกี่ยวกับการทรงสร้าง
  • พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรระหว่างการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการ?




    คำถาม: พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรระหว่างการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการ?

    คำตอบ:
    คำตอบนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะมาถกระหว่างเรื่องการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการ หากท่านกำลังมองหาบทความทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการทรงสร้าง และ/หรือ ต่อต้านการวิวัฒนาการ เราขอแนะนำเวบชื่อ Answers in Genesis - http://www.answersingenesis.org, และสถาบันค้นคว้าเกี่ยวกับการทรงสร้าง – Institute for Creation Research http://www.icr.org. วัตถุประสงค์สำหรับบทความนี้คือเพื่ออธิบาย, ตามแนวพระคัมภีร์, ว่าทำไมจึงมีการถกเถียงกันระหว่างเรื่องการทรงสร้างและการวิวัฒนาการ หนังสือโรม 1:25 กล่าวว่า “เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จและได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้สมจะได้รับความสรรเสริญเป็นนิตย์ เอเมน”

    สิ่งสำคัญที่เราทุกคนต้องจำไว้คือนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เชื่อในการวิวัฒนาการไม่เชื่อว่าพระเจ้าหรือสวรรค์นรกมีจริง บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องบ้างในการวิวัฒนาการ บางคนยอมรับเรื่องพระเจ้า (พระเจ้ามีจริงแต่ทรงไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลก… ทุกสิ่งดำเนินไปตามครรลองของธรรมชาติ), บางคนศึกษาข้อมูลอย่างจริงใจและด้วยน้ำใสใจจริง แล้วสรุปว่าการวิวัฒนาการเข้ากันได้ดีกับข้อมูลที่ว่านั้น แต่พวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญผู้สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าเรื่องการวิวัฒนาการส่วนใหญ่เชื่อว่าชีวิตเกิดขึ้นและดับไปโดยไม่มีการเกี่ยวข้องจากเบื้องบนแต่อย่างไร โดยคำจำกัดความของพวกเขา การวิวัฒนาการ คือ การเป็นไปตามธรรมชาติ

    เพื่อที่จะทำให้ความเห็นของผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นความจริง มันจะต้องมีคำอธิบายว่าจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าความเชื่อในการวิวัฒนาการจะมาก่อนทฤษฏีของ ชารล์ส ดาร์วิน ก็ตาม ดาร์วินเป็นคนแรกที่ให้เหตุผลพอฟังได้ว่าการวิวัฒนาการน่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร – คือเป็นไปตามธรรมชาติ ครั้งหนึ่งดาร์วินได้ประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ภายหลังเขาได้ละทิ้งความเชื่อและปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้าเพราะมีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจเกิดขึ้นในชีวิตของเขา ทฤษฎีวิวัฒนาการถูก “คิดค้น” ขึ้นมาโดยคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เป้าหมายของดาร์วินไม่ใช่เพื่อจะปฎิเสธการทรงอยู่ของพระเจ้า แต่มันเป็นผลพวงของทฤษฎีวิวัฒนาการ ทฤษฎีวิวัฒนาการคือตัวสนับสนุนความเชื่อของผู้ที่ไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้า นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการในปัจจุบันมักจะไม่ยอมรับว่าเป้าหมายของพวกเขาคือการให้คำอธิบายอีกแง่หนึ่งเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิต และด้วยเหตุนั้นทฤษฎีนี้จึงเป็นการปูความเชื่อให้กับผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่านั่นคือเหตุผลว่าทำไมทฤษฎีวิวัฒนาการจึงเกิดขึ้นมา

    พระคัมภีร์บอกว่า “คนโง่รำพึงในใจของตนว่า ไม่มีพระเจ้า” (สดุดี 14:1; 53:1) พระคัมภีร์บอกอีกว่า มนุษย์ไม่มีข้อแก้ตัวที่จะไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสร้าง “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม 1:20) ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ ผู้ที่ปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าคือคนโง่ แล้วทำไมยังมีคนอีกมากมาย รวมทั้งคริสเตียนบางคนด้วย ยอมรับว่านักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการถ่ายทอดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ลำเอียง? พระคัมภีร์บอกว่าพวกเขาเป็นคนโง่! ความโง่ไม่ได้หมายถึงการไม่มีความรู้ นักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการส่วนใหญ่ฉลาดมาก ความโง่แสดงถึงความไม่สามารถที่จะนำความรู้มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมได้ ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือสุภาษิต 1:7 บอกว่า “ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดของความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน”

    นักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการเยาะเย้ยว่าการทรงสร้าง และ/หรือ การสร้างโดยมีผู้ออกแบบว่าไม่ได้เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ และไม่มีค่าพอที่จะได้รับการตรวจสอบตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะลงความเห็นว่าอะไรว่าเป็นไปตามหลัก “วิทยาศาสตร์” หรือไม่ พวกเขาบอกว่า มันจะต้องถูกเฝ้ามองได้และทดสอบได้ มันจะต้องเป็นไป “ตามธรรมชาติ” การทรงสร้าง, ตามความหมายของมันแล้ว, เป็นเรื่อง “เหนือธรรมชาติ” พระเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติถูกเฝ้ามองไม่ได้และทดสอบไม่ได้ (ผู้โต้แย้งว่าเช่นนั้น), ดังนั้นการทรงสร้าง และ/หรือ การสร้างโดยมีผู้ออกแบบไม่สามารถถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ได้ ดังนั้น ข้อมูลทั้งหมดจึงถูกกรองผ่านทฤษฎีวิวัฒนาการที่เข้าใจกันเองล่วงหน้า, มีสมมติฐานล่วงหน้า และมีการยอมรับล่วงหน้า โดยไม่มีการรับฟังคำอธิบายอย่างอื่นเลย

    แต่อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถทดสอบหรือคอยเฝ้าดูต้นกำเนิดของจักรวาลและชีวิตได้ ทั้งการทรงสร้างและการวิวัฒนาการคือระบบที่ถือความเชื่อเป็นหลักเมื่อพวกเขาพูดถึงต้นกำเนิด ทั้งสองทฤษฎีไม่สามารถทดสอบได้เพราะเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปเป็นล้านล้านปี (หรือพันปี) ได้ เพื่อเฝ้าดูต้นกำเนิดของจักรวาลและชีวิตในจักรวาล นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าเกี่ยวกับการวิวัฒนาการปฏิเสธการทรงสร้างเพราะตามหลักตรรกวิทยามันจะบังคับให้พวกเขาปฏิเสธการวิวัฒนาการด้วยเหมือนกัน เมื่อต้องอธิบายต้นกำเนิดตาม “หลักวิทยาศาสตร์” การวิวัฒนาการเข้ากับคำจำกัดความของคำว่า “วิทยาศาสตร์” ได้ไม่มากไปกว่าการทรงสร้างเลย การวิวัฒนาการน่าจะเป็นคำอธิบายเดียวเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่สามารถทดสอบได้ ดังนั้นมันจึงเป็นแค่ทฤษฎีของต้นกำเนิดที่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็น “วิทยาศาสตร์” นี่คือความโง่! นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่เชื่อในการวิวัฒนาการกำลังปฏิเสธทฤษฎีที่เป็นไปได้เกี่ยวกับต้นกำเนิดโดยไม่ได้แม้แต่ตรวจคุณสมบัติของมัน เพราะมันไม่สอดคล้องกับคำจำกัดความที่แคบและไม่เป็นไปตามหลักตรรกวิทยาของคำว่า “วิทยาศาสตร์” ของพวกเขานั่นเอง

    หากการทรงสร้างเป็นความจริง มันก็จะต้องมีผู้ทรงสร้างที่เราจะต้องรายงานตัวต่อพระองค์ ทฤษฎีการวิวัฒนาการคือตัวสนับสนุนความคิดของผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ทฤษฎีการวิวัฒนาการช่วยให้ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ามีข้อมูลเพื่อจะอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยไม่มีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ทฤษฎีการวิวัฒนาการปฏิเสธว่าไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับจักรวาล ทฤษฎีวิวัฒนาการคือ “ทฤษฏีการสร้าง” ใน “ศาสนา” ของผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พระคัมภีร์ให้ทางเลือกชัดเจน เราสามารถเลือกที่จะเชื่อพระวจนะของพระเจ้าของเราผู้ทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุดและทรงสัพพัญญู หรือเลือกที่จะเชื่อคำอธิบายอคติและไม่มีเหตุผล “ทางวิทยาศาสตร์” ของคนโง่ก็ได้



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรระหว่างการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการ?
  • โลกมีอายุกี่ปีแล้ว? โลกมีอายุเท่าไหร่?




    คำถาม: โลกมีอายุกี่ปีแล้ว? โลกมีอายุเท่าไหร่?

    คำตอบ:
    ตามพระคัมภีร์อาดัมถูกสร้างขึ้นมาในวันที่หกจากวันที่โลกถูกสร้างขึ้น ดังนั้นเราจึงสามารถกำหนดอายุของโลกอย่างคร่าว ๆ โดยดูจากการลำดับวันเดือนปีของมนุษย์ตามพระคัมภีร์ได้ แน่นอนในการทำเช่นนี้เราต้องถือว่ารายละเอียดในหนังสือปฐมกาลถูกต้อง เช่นหกวันในการทรงสร้างคือหกวันที่มี 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน และไม่มีช่องว่างอะไรที่น่าสงสัยในการลำดับวันเดือนปี

    หนังสือปฐมกาลบทที่ห้าและสิบเอ็ดลำดับพงศ์พันธุ์ของมนุษย์โดยเริ่มตั้งแต่อายุของอาดัมลงมาเรื่อย ๆ จากลูกหลานของเขาชั่วอายุหนึ่งมาจนถึงอีกชั่วอายุหนึ่งจนถึงอับราฮัม เมื่อเรารู้ว่าอับราฮัมอยู่ตรงชั่วอายุไหน เราก็บวกอายุของบรรพบุรุษของเขาที่หนังสือปฐมกาลบทที่ห้าและสิบเอ็ดได้บอกไว้เข้าไป เราก็จะเห็นว่าพระคัมภีร์บอกว่าโลกมีอายุประมาณ 6,000 ปี บวกลบไม่เกินสองสามร้อยปี

    แล้วอายุ 4.6 ล้านล้านปีที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันและที่สถาบันศึกษาส่วนใหญ่สอนกันนั้นมาจากไหน? อายุที่ว่านี้มาจากเทคนิคการนับสองประการ คือ การวัดโดยคลื่นรังสี และ ทางธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนโลกอายุน้อยคือประมาณ 6,000 ปี ยืนยันว่าการวัดด้วยคลื่นมีข้อผิดพลาดในแง่ที่ว่ามันมีพื้นฐานที่มาจากสมมติฐานที่ผิดมาเป็นชุด ๆ ส่วนการนับทางธรณีวิทยามีความผิดพลาดในแง่ที่ว่ามันใช้เหตุผลวนเวียน นอกจากนั้นพวกเขายังบอกว่าความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณเกี่ยวกับการลำดับชั้นของหิน การทำให้ซากสัตว์และต้นไม้กลายเป็นหิน และการฟอร์มตัวของเพชร, ถ่านหิน, น้ำมัน, หินงอก, หินย้อย เป็นต้น ว่าต้องใช้เวลานานนั้นเป็นการเข้าใจผิด ท้ายที่สุด ผู้ที่เชื่อในโลกอายุน้อยได้แสดงหลักฐานให้เห็นว่าโลกยังมีอายุน้อยอยู่แทนหลักฐานที่บ่งชี้ว่าโลกมีอายุมากแล้วซึ่งพวกเขาไม่ให้เครดิต นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าโลกอายุน้อยยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนส่วนน้อย แต่ยืนยันว่าการพิสูจน์ของพวกเขาจะได้รับการยอมรับมากขึ้น เนื่องจากมีนักวิทยาศาสตร์มากขึ้นพิจารณาหลักฐานใหม่และพิจารณาแนวความคิดที่ว่าโลกมีอายุมากกว่า 6,000 ปีที่มีการยอมรับกันอยู่ในปัจจุบันอย่างละเอียดมากขึ้น

    สุดท้ายแล้ว อายุของโลกพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น 6,000 ปี หรือ 4.6 ล้านล้านปี – แนวความคิดทั้งสอง (และแนวความคิดอื่น ๆ) ขึ้นอยู่กับความเชื่อและสมมติฐาน ผู้ที่เชื่อว่าโลกมีอายุ 4.6 ล้านล้านปี เชื่อว่าวิธี เช่น การวัดด้วยคลื่นรังสีเป็นวิธีที่เชื่อถือได้ และไม่มีอะไรเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่อาจขัดจังหวะการผุพังตามปกติของแร่ธาตุที่ถูกเปลี่ยนไปโดยกัมมันตรังสี ผู้ที่เชื่อว่าโลกมีอายุ 6,000 ปี เชื่อว่าพระคัมภีร์ถูกต้อง และปัจจัยอื่น ๆ เช่น น้ำท่วมโลก, หรือการที่พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลในสภาพที่ “เกิดขึ้น” โดยมีอายุมากแล้ว ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงสร้างอาดัมและเอวาในสภาพมนุษย์ที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากมีหมอมาตรวจอาดัมและเอวาในวันที่เขาทั้งสองถูกสร้างขึ้นมา หมอคงจะประมาณอายุของเขาทั้งสองว่าประมาณ 20 ปี (หรือเท่าไหร่ก็ตาม ตามสภาพในขณะนั้นของเขา) ทั้ง ๆ ที่อันที่จริงแล้วอาดัมและเอวามีอายุได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตามการเชื่อพระวจนะของพระเจ้าแทนที่จะเชื่อคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เชื่อในทฤษฏีวิวัฒนาการ ก็เป็นเหตุผลที่ดีเสมอ



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • โลกมีอายุกี่ปีแล้ว? โลกมีอายุเท่าไหร่?
  • น้ำท่วมสมัยโนอาห์ เป็นน้ำท่วมโลกหรือเฉพาะที่?




    คำถาม: น้ำท่วมสมัยโนอาห์ เป็นน้ำท่วมโลกหรือเฉพาะที่?

    คำตอบ:
    หากเราศึกษาข้อพระคัมภีร์ เราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นน้ำท่วมโลก หนังสือปฐมกาล 7:11 บอกว่า “เมื่อโนอาห์มีอายุได้หกร้อยปี ในเดือนที่สอง วันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันนั้นเองน้ำจากบาดาลก็พลุ่งขึ้นมาตามธารทุกสาย และช่องฟ้าก็เปิด” จากหนังสือปฐมกาล 1:6-7 และ 2:6 เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสภาพของโลกก่อนน้ำท่วมแตกต่างไปจากโลกที่เราอยู่ในปัจจุบัน ดูจากสิ่งเหล่านี้และจากคำอธิบายในพระคัมภีร์ อีกทั้งจากซากสัตว์และต้นไม้ที่กลายเป็นหิน และอายุของหินที่ค้นพบ มันมีเหตุผลพอที่จะให้คิดว่าครั้งหนึ่งโลกถูกปกคลุมด้วยฝาครอบที่เป็นน้ำ ฝาครอบนี้อาจเป็นหมอกควัน หรือวงแหวนแบบวงแหวนน้ำแข็งรอบดาวเสาร์ก็ได้ ฝาครอบนี้ร่วมกับน้ำใต้พื้นดินที่มากมายได้ถูกปลดปล่อยออกมาบนพื้นดิน (ปฐมกาล 2:6) นี่น่าจะเป็นผลให้เกิดน้ำท่วมโลก

    ข้อพระคัมภีร์ที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงถึงปริมาณของน้ำอยู่ในหนังสือปฐมกาล 7:19-23: “น้ำยิ่งทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน ท่วมภูเขาสูงสุดที่อยู่ใต้ฟ้าทุกแห่งหมด น้ำท่วมเหนือภูเขาเกินขึ้นไปอีกสิบห้าศอก บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน คือนก สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่า กับบรรดาฝูงสัตว์เล็กๆที่อยู่บนแผ่นดิน และมนุษย์ทั้งปวงก็ตายสิ้น บรรดาสัตว์ที่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูก คือสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกตายสิ้น พระองค์ทรงทำลายล้างสัตว์ทั้งปวงที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินตั้งแต่มนุษย์ สัตว์และสัตว์เลื้อยคลาน ตลอดจนถึงนกในอากาศ พวกเหล่านี้ถูกทำลายล้างเสียจากโลก หลืออยู่แต่โนอาห์และบรรดาผู้ที่อยู่กับเขาในนาวา”

    จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นเราไม่เพียงแต่ได้พบคำว่า “ทั้งหมด” ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ได้พบประโยคเช่น “และน้ำก็ท่วมภูเขาสูงทุกแห่งทั่วใต้ฟ้า” “น้ำไหลเชี่ยวท่วมเหนือภูเขาสิบห้าศอก และน้ำก็ท่วมภูเขาสูงทุกแห่ง” (พอที่จะให้เรือของโนอาห์ผ่านได้อย่างปลอดภัย), และ “บรรดาเนื้อหนังที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก ทั้งนก สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่า และสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก และมนุษย์ทั้งปวงก็ตายสิ้น” ฯลฯ หากคำอธิบายเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงน้ำท่วมโลก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้ได้อย่างไร และหากพระเจ้าทรงให้น้ำท่วมเฉพาะที่ ทำไมพระองค์จึงทรงต้องสั่งให้โนอาห์สร้างเรือที่ใหญ่พอสำหรับให้สัตว์บกหลายชนิดที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันอาศัยอยู่ได้ เราอาจสังเกตว่าแม้ไดโนเสาร์ก็เริ่มจากตัวเล็ก ๆ และมันไม่มีความจำเป็นอะไรที่โนอาห์จะต้องนำสัตว์ที่โตเต็มที่แล้วเข้ามาในเรือ

    พระเจ้าทรงสั่งให้โนอาห์นำสัตว์บกเข้ามาไว้ในเรือเป็นคู่ ๆ (สัตว์น้ำไม่ต้อง) (ปฐมกาล 6:19-22) ยกเว้นสัตว์ทั้งปวงที่สะอาดทั้งตัวผู้และตัวเมียอย่างละเจ็ดคู่ นกในอากาศทั้งตัวผู้และตัวเมียอย่างละเจ็ดคู่ด้วย (ปฐมกาล 7:2-3)

    ท่านอาจารย์เปโตรก็ได้บรรยายเรื่องน้ำท่วมโลกไว้ในหนังสือ 2 เปโตร 3:6-7 ว่า “ด้วยน้ำนั้นเองชาวโลกที่มีอยู่ในขณะนั้น ก็ได้ถูกทำลายให้พินาศไปเพราะน้ำท่วม และโดยพระวจนะเดียวกันนั้นเอง ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็มีไว้สำหรับให้ไฟเผาผลาญคือเก็บไว้จนกว่าจะถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาทุรชน” ในข้อพระคัมภีร์ทั้งสองข้อนี้ อาจารย์เปโตรเปรียบเทียบ วันทรงพิพากษา “โลก” กับเวลาน้ำท่วมในสมัยโนอาห์ และกล่าวว่าโลกที่มีอยู่ในเวลานั้นได้ถูกน้ำท่วม และพระสัญญาของพระเจ้า (ปฐมกาล 8:21; 9:11, 15) ว่าจะทรงไม่เกิดน้ำท่วมเช่นนั้นอีก ก็คงไม่เป็นพระสัญญาหากน้ำท่วมในตอนนั้นเป็นน้ำท่วมเฉพาะแห่ง นอกจากนั้นมนุษย์ทุกคนถูกเชื่อว่าเป็นลูกหลานของลูกทั้งสามคนของโนอาห์ (ปฐมกาล 9:1, 19) และผู้เขียนพระคัมภีร์ในยุคหลังหลายท่านยอมรับประวัติศาสตร์เรื่องน้ำท่วมโลก (อิสยาห์ 54:9; 1 เปโตร 3:20; 2 เปโตร 2:5; ฮีบรู 11:7) ท้ายที่สุดองค์พระเยซูคริสต์ทรงเชื่อในเรื่องน้ำท่วมโลกและตรัสว่าจะทรงใช้มันในการทำลายโลกเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา (มัทธิว 24:37-39; ลูกา 17:26, 27)

    มีหลักฐานมากมายนอกพระคัมภีร์ที่พูดถึงความหายนะเช่นน้ำท่วมโลก มีการค้นพบสุสานซากสัตว์และต้นไม้มากมายในทุกทวีป, มีถ่านหินที่ทับถมกันเป็นจำนวนมากที่ก่อให้เกิดพืชผักจำนวนมากอย่างรวดเร็ว, มีซากสัตว์ทะเลที่กลายเป็นหินถูกพบบนบอดเขาทั่วโลก, มีเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำท่วมมากกว่า 270 เรื่องจากทั่วโลก, และการเกิดขั้นอย่างรวดเร็วของหินที่แสดงว่ามีการทับถมกันเป็นชั้น ๆ อย่างรวดเร็ว (รวมถึงที่พบที่แกรนด์ แคนยอนด้วย) ทั้งหมดชี้ไปถึงว่าการเกิดน้ำท่วมโลกทั้งสิ้น



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • น้ำท่วมสมัยโนอาห์ เป็นน้ำท่วมโลกหรือเฉพาะที่?
  • ทฤษฎีการสร้างโดยมีผู้ออกแบบคืออะไร?




    คำถาม: ทฤษฎีการสร้างโดยมีผู้ออกแบบคืออะไร?

    คำตอบ:
    ทฤษฎีการสร้างโดยมีการออกแบบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวกล่าวว่า “มันจะต้องผู้ออกแบบเพื่ออธิบายความซับซ้อนและเต็มไปด้วยข้อมูลของโครงสร้างทางชีววิทยา และการออกแบบที่ว่านี้มาจากความสังเกตไม่ใช่ด้วยเหตผลที่สืบค้นได้” ลักษณะทางชีวภาพบางอย่างท้าทายคำอธิบายมาตรฐานที่ “ไม่มีเหตุผล” ของดาวิน มันดูเหมือนว่าจะมีการออกแบบขึ้นมา เนื่องจากการมีรูปแบบ, ตามหลักตรรกวิทยาแล้ว, จะต้องมีผู้ออกแบบ ดังนั้นการปรากฏรูปแบบจึงเป็นการแน่นอนว่าจะต้องมีผู้ออกแบบ มีข้อถกเถียงกันอยู่สามประการใหญ่ ๆ เกี่ยวกับทฤษฎีการสร้างโดยมีผู้ออกแบบ คือ 1) ความสลับซับซ้อนที่ลดความซับซ้อนลงมาไม่ได้ 2) ความสลับซับซ้อนที่ระบุรายละเอียด 3) หลักทางมนุษยวิทยา

    (1) ความซับซ้อนที่ลดความซับซ้อนลงมาไม่ได้ถูกให้คำจำกัดความว่า “… คือระบบเดี่ยวที่มีส่วนประกอบหลายชิ้นทำงานประสานกันเพื่อให้อวัยวะนั้นทำงานได้ หากส่วนประกอบชิ้นใดชิ้นหนึ่งถูกเอาออกไป อวัยวะนั้นก็จะไม่สามารถทำงานได้” พูดง่าย ๆ ก็คือชีวิตประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วนที่ทำงานร่วมกัน และแต่ละส่วนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อให้ร่างกายทำงานได้ การกลายสภาพของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งอย่างสะเปะสะปะอาจทำให้ร่างกายต้องพัฒนาอวัยวะใหม่ขึ้นมา แต่มันจะไม่รับรู้ถึงการพัฒนาของอวัยวะซ้อนกันเพื่อให้ระบบของร่างกายทำงานได้ ยกตัวอย่างเช่น ตาของมนุษย์ แน่นอนว่าตาเป็นอวัยวะที่มีประโยชน์มาก หากไม่มีลูกตา (ซึ่งมีความสลับซับซ้อนในต้วของมันเองอยู่แล้ว), เส้นประสาทตา และจอรับภาพ ระบบตาที่พัฒนาขึ้นมาอย่างสะเปะสะปะอาจทำงานสวนทางกับระบบเดิมได้และจะต้องถูกกำจัดออกไปโดยขบวนการเลือกของธรรมชาติ ตาไม่สามารถใช้การได้หากทุกส่วนมีไม่ครบและทำงานไม่ถูกต้องในเวลาเดียวกัน

    (2) ความสลับซับซ้อนที่ระบุรายละเอียด คือ แนวความคิดที่ว่าเนื่องจากความสลับซับซ้อนที่ว่านี้สามารถพบได้ในสัตว์และพืช ดังนั้นมันน่าจะมีที่มา หลักการนี้ให้เหตุผลว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ความซับซ้อนจะเกิดขึ้นมาเองโดยบังเอิญ ยกตัวอย่างเช่น ห้องที่มีลิง 100 ตัว กับพิมพ์ดีดอีก 100 เครื่อง อาจผลิตคำออกมาได้สักสองสามคำ หรืออย่างเก่งก็สักหนึ่งประโยค แต่มันไม่มีวันที่จะผลิตบทละครของเชคส์เปียร์ได้ แต่ชีวิตมีความสลับซับซ้อนมากกว่าบทละครของเชคส์เปียร์มากมายนักไม่ใช่หรือ?

    (3) หลักทางมนุษยวิทยากล่าวว่าโลกและจักรวาลถูก “ปรับให้เป็นระเบียบ” เพื่อสิ่งมีชีวิตจะได้อาศัยอยู่ได้ หากรังสีของแร่ธาตุต่าง ๆ ในบรรยากาศของโลกถูกเปลี่ยนไปเล็กน้อย สัตว์และต้นไม้บางชนิดอาจสูญพันธ์ไปก็ได้ หากโลกจะอยู่ใกล้หรือไกลจากดวงอาทิตย์ไปสักเล็กน้อย พืชและสัตว์หลายชนิดอาจสูญพันธ์ไปได้ การดำรงอยู่และพัฒนาการของชีวิตในโลกนี้ต้องใช้ตัวแปรมากมายเพื่อที่มันจะไปด้วยกันได้ด้วยดี ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ตัวแปรทั้งหลายจะเกิดขึ้นมาอย่างสะเปะสะปะโดยไม่มีระเบียบ

    ถึงแม้ว่าทฤษฏีการสร้างโดยมีผู้ออกแบบไม่ได้บอกว่าผู้ออกแบบเป็นใคร (ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า หรือ มนุษย์ต่างดาว, ฯลฯ) ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีนี้ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีพระเจ้า พวกเขาเห็นว่ามีการออกแบบทางชีววิทยาแพร่กระจายอยู่อย่างชัดเจนทั่วไปในโลกซึ่งเป็นประจักษ์พยานของการทรงอยู่ของพระเจ้า และมีผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าบางคนที่ปฎิเสธประจักษ์พยานแห่งการออกแบบไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง แต่กลับชอบที่จะตีความหมายว่าประจักษ์พยานที่เห็นนั้นเป็นผลผลิตของมนุษย์ต่างดาวมากกว่า

    ทฤษฎีการสร้างโดยมีผู้ออกแบบไม่ใช่ทฤษฎีการทรงสร้างตามพระคัมภีร์ สองทฤษฎีนี้มีข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ผู้ที่เชื่อเรื่องการทรงสร้างเริ่มต้นที่ข้อสรุป: สิ่งที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการทรงสร้างถูกต้องและเชื่อถือได้; สิ่งมีชีวิตบนโลกถูกออกแบบขึ้นมาโดยมีผู้ออกแบบ (พระเจ้า) ต่อจากนั้นพวกเขาจึงมองหาหลักฐานทางธรรมชาติเพื่อสนับสนุนข้อสรุปนี้ ผู้ที่เชื่อว่ามีผู้ออกแบบ เริ่มต้นจากขอบเขตทางธรรมชาติแล้วจึงสรุป: สิ่งมีชีวิตบนโลกถูกออกแบบขึ้นมาโดยมีผู้ออกแบบ (ซึ่งจะเป็นใครก็ตาม)



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ทฤษฎีการสร้างโดยมีผู้ออกแบบคืออะไร?
  • ความเชื่อในพระเจ้าและวิทยาศาสตร์ขัดแย้งกันไหม?




    คำถาม: ความเชื่อในพระเจ้าและวิทยาศาสตร์ขัดแย้งกันไหม?

    คำตอบ:
    คำจำกัดความของคำว่าวิทยาศาสตร์คือ “การเฝ้าสังเกต, การพิสูจน์ได้ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน, การบรรยายรูปร่างลักษณะ, การทดลองค้นคว้า และ การอธิบายปรากฏการณ์ที่มีทฤษฏีสนับสนุน” วิทยาศาสตร์คือวิธีที่มนุษย์นำมาใช้เพื่อทำความเข้าใจจักรวาลตามธรรมชาติให้มากขึ้น มันเป็นการแสวงหาความรู้ผ่านทางการเฝ้าสังเกตและการคาดเดา ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แสดงถึงการแสวงหาเหตุผลตามหลักตรรกวิทยาและจินตนาการ แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อถือวิทยาศาสตร์ของคริสเตียน ไม่ควรเหมือนกับความเชื่อของเราในพระเจ้า คนที่เป็นคริสเตียนสามารถเชื่อในพระเจ้าและเชื่อถือในวิทยาศาสตร์ได้ ตราบเท่าที่เรารู้ว่าอะไรสมบูรณ์และอะไรไม่สมบูรณ์

    ความวางใจของเราในพระเจ้าเป็นความวางใจที่มาจากความเชื่อ เรามีความเชื่อในพระบุตรของพระองค์สำหรับความรอด, ความเชื่อในพระวจนะของพระองค์สำหรับคำสั่งสอน และความเชื่อในพระวิญญาณบริสุทธิ์สำหรับการทรงนำ ความเชื่อของเราในพระเจ้าควรเป็นความเชื่อที่สมบูรณ์ เนื่องจากเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า เราพึ่งพาความบริบูรณ์พร้อม, สิทธิอำนาจสมบูรณ์ และความเป็นสัพพัญญูของพระองค์ผู้ทรงสร้าง ความวางใจของเราในวิทยาศาสตร์ควรเป็นความวางใจในความรู้ – ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เราสามารถเชื่อในวิทยาศาสตร์ได้ว่ามันสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้มากมาย แต่เราก็เชื่อได้เหมือนกันว่าวิทยาศาสตร์ก็ผิดพลาดได้

    ความจริงไม่ใช่อะไรที่คริสเตียนควรกลัว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่คริสเตียนจะต้องกลัวหรือเกลียดวิทยาศาสตร์ที่ดี การได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการทรงสร้างจักรวาลโดยพระเจ้าของเราช่วยให้มนุษย์เห็นคุณค่าของการทรงสร้างที่แสนอัศจรรย์ การเพิ่มความรู้ของเราให้มากขึ้นช่วยให้เราเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ, ความเพิกเฉย และความเข้าใจผิดได้ แต่เมื่อใดที่นักวิทยาศาสตร์ยึดมั่นในหลักตรรกวิทยาของมนุษย์เหนือความเชื่อในองค์พระผู้สร้างของเรา นั่นเป็นเรื่องอันตราย คนพวกนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากคนที่เชื่อมั่นในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง – พวกเขาเลือกที่จะเชื่อในศาสดามนุษย์ แล้วหาข้อเท็จจริงมาสนับสนุนความเชื่อนั้น

    แม้กระนั้น นักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผลส่วนใหญ่ แม้ว่าบางคนจะไม่เชื่อในพระเจ้า ก็ยังยอมรับว่าความเข้าใจในจักรวาลของเรานั้นยังขาดความสมบูรณ์ พวกเขาบอกว่าทั้งพระเจ้าและพระคัมภีร์พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ทฤษฏีหลายทฤษฏีที่พวกเขาชอบในที่สุดก็พิสูจน์ไม่ได้เช่นกัน วิทยาศาสตร์มีไว้เพื่อให้ความเป็นกลาง, เพื่อแสวงหาความเป็นจริงเท่านั้น, ไม่ใช่มีไว้เพื่อพิสูจน์อะไรทั้งสิ้น และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เราเข้ามาหาพระองค์โดยความเชื่อไม่ใช่ตามหลักตรรกวิทยา

    วิทยาศาสตร์เป็นอันมากสนับสนุนการดำรงอยู่และการงานของพระเจ้า หนังสือสดุดี 19:1 กล่าวว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” ยิ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ค้นพบอะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับจักรวาล เรายิ่งเห็นหลักฐานเกี่ยวกับการทรงสร้างมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ความซับซ้อนและการจำลองแบบ DNA อย่างอัศจรรย์, ความพัวพันและประสานกันแน่นของกฎของฟิสิกส์ และความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสภาพแวดล้อมต่าง ๆ และองค์ประกอบทางเคมีบนโลกนี้สนับสนุนสิ่งที่พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ทั้งสิ้น คริสเตียนควรยอมรับวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าหาความจริง แต่ควรปฏิเสธ “นักเทศน์ทางวิทยาศาสตร์” ผู้ถือว่าความรู้ของมนุษย์เหนือกว่าพระเจ้า



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ความเชื่อในพระเจ้าและวิทยาศาสตร์ขัดแย้งกันไหม?
  • ทำไมพระเจ้าจึงทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วมาไว้ในสวนเอเดน?




    คำถาม: ทำไมพระเจ้าจึงทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วมาไว้ในสวนเอเดน?

    คำตอบ:
    พระเจ้าทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วมาไว้ในสวนเอเดนเพื่อให้อาดัมและเอวามีทางเลือก - ที่จะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง อาดัมและเอวาเป็นอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่เขาทั้งสองต้องการ นอกผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเท่านั้นที่เขาทั้งสองถูกห้ามไม่ให้กิน หนังสือปฐมกาล 2:16-17 กล่าวว่า “พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า "บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่” หากพระเจ้าทรงไม่ให้อาดัมและเอวามีทางเลือก เขาทั้งสองก็จะเป็นเหมือนหุ่นยนตร์ที่เพียงแค่ทำตามโปแกรมที่ถูกตั้งมาเท่านั้น พระเจ้าทรงสร้างอาดัมและเอวาให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี “อิสระ” มีความสามารถในการตัดสินใจ, มีความสามารถในการเลือกระหว่างความดีและความชั่ว ดังนั้นเพื่อที่อาดัมและเอวาจะมี “อิสระ” อย่างแท้จริง - เขาจะต้องมีทางเลือก

    ไม่มีอะไรชั่วร้ายเกี่ยวกับต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วหรือผลของมัน การกินผลของมันคงไม่ทำให้อาดัมและเอวาฉลาดขึ้นแน่ ๆ แต่ท่าทีของการไม่เชื่อฟังต่างหากที่นำอาดัมและเอวาไปสู่ความชั่วร้าย ความบาปในการไม่เชื่อฟังพระเจ้านำความบาปและความชั่วร้ายเข้ามาในโลกและในชีวิตของเขาทั้งสอง การกินผลไม้ อันเป็นการกระทำที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า คือสิ่งที่ทำให้อาดัมและเอวารู้จักกับความชั่วร้าย หนังสือปฐมกาล 3:6-7 กล่าวว่า “เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากินและน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้”

    พระเจ้าไม่ได้ทรงปรารถนาที่จะให้อาดัมและเอวาทำบาป พระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าว่าผลของความบาปคืออะไร พระเจ้าทรงรู้ว่าอาดัมและเอวาจะต้องทำความบาป และนำความชั่วร้าย ความทุกข์ยากลำบาก และความตายเข้ามาในโลก หากเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมพระองค์ยังทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเข้ามาไว้ในสวนเอเดนเพื่อให้ซาตานล่อลวงอาดัมและเอวาอีกเล่า? พระเจ้าทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเข้ามาไว้ในสวนเอเดนเพื่อให้ทางเลือกกับอาดัมและเอวา พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองอาดัมและเอวาเพื่อบังคับให้เขาทั้งสองเลือก แล้วอาดัมและเอวาก็เลือก, จากเสรีภาพของเขาเอง, ที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าและกินผลไม้ต้องห้ามนั้น ผลจากการเลือกนั้นก็คือ – ความชั่วร้าย, ความบาป, โรคภัยไข้เจ็บ และความตายจึงเข้ามาสู่โลกตั้งแต่ในบัดนั้น ผลของการเลือกของอาดัมและเอวาทำให้มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับมีธรรมชาติบาปในตัว ทุกคนมีแนวโน้มที่จะทำบาป สุดท้ายแล้วการตัดสินใจของอาดัมและเอวาคือการทำให้พระเยซูคริสต์ต้องมาสิ้นพระชนม์บนกางเขนและหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพื่อเรา โดยความเชื่อในพระคริสต์ เราสามารถเป็นอิสระจากความบาปและผลของมันได้ ขอให้เราสะท้อนเสียงของท่านอาจารย์เปาโลในหนังสือโรม 7:24-25 กันเถิด: “โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้ ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ทำไมพระเจ้าจึงทรงนำต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วมาไว้ในสวนเอเดน?
  • พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้ว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์มีไดโนเสาร์หรือไม่?




    คำถาม: พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้ว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์มีไดโนเสาร์หรือไม่?

    คำตอบ:
    หัวข้อเกี่ยวกับไดโนเสาร์ในพระคัมภีร์เป็นส่วนย่อยของหัวข้อใหญ่ที่มีการถกเถียงกันตลอดมาในแวดวงคริสเตียนเกี่ยวกับ ยุคต่าง ๆ ของโลก, การตีความหมายของหนังสือปฐมกาลที่ถูกต้องเหมาะสม, และเราจะตีความหมายพยานหลักฐานทางกายภาพที่เห็นอยู่รอบตัวเราอย่างไร ผู้ที่เชื่อในยุคที่โลกถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ๆ ไม่นานนัก มีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ เอ่ยถึงไดโนเสาร์ เพราะตามความเห็นของเขา ไดโนเสาร์ได้สูญพันธ์ไปแล้วเป็นล้าน ๆ ปีก่อนที่มนุษย์คนแรกจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ดังนั้นผู้ที่บันทึกพระคัมภีร์จึงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นไดโนเสาร์เป็น ๆ แน่นอน

    ส่วนผู้ที่เชื่อในยุคถัดมามีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าพระคัมภีร์ได้มี บันทึกเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้แม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำว่า “ไดโนเสาร์” ก็ตาม แทนที่จะใช้คำว่าไดโนเสาร์ พระคัมภีร์ใช้คำว่า tanniyn ซึ่งเป็นภาษาฮีบรู ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษของเรา คำว่า tanniyn ถูกแปลต่างกันออกไป; บางครั้งใช้คำว่า “สัตว์ประหลาดในท้องทะเล” บางครั้งใช้คำว่า “งูดึกดำบรรพ์” แต่คำแปลที่เป็นที่นิยม คือ “มังกร” Tanniyn ดูเหมือนว่าจะเป็นสัตว์อะไรบางอย่างจำพวกสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ สัตว์เหล่านี้ถูกกล่าวถึงเกือบสามสิบครั้งในพันธสัญญาเดิมและมีอยู่ทั้งบนบกและในน้ำ

    นอกจากพระคัมภีร์เดิมจะกล่าวถึงสัตว์เลื้อยคลานยักษ์เหล่านี้เกือบสามสิบครั้งแล้ว พระคัมภีร์ยังบรรยายเกี่ยวกับมันสองสามตัว ซึ่งเมื่อดูจากคำบรรยายลักษณะของมันแล้วผู้ทรงคุณวุฒิเชื่อว่าผู้บันทึกคงจะบรรยายถึงไดโนเสาร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า เบเฮโมท เป็นสัตว์ที่ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง เป็นสัตว์ยักษ์ที่มีหางเหมือนไม้สนสีดาร์ (โยบ 40:15) ผู้ทรงคุณวุฒิบางคนได้พยายามโยงเบเฮโมทกับช้างหรือฮิปโปโปเตมัสเข้าด้วยกัน แต่บางคนบอกว่าช้างและฮิปโปโปเตมัสมีหางเล็กบาง เทียบไม่ได้กับไม้สนสีดาร์ แต่ไดโนเสาร์ประเภทแบรคซีโอซอรัส และ ไดโพลโดคัส มีหางใหญ่ซึ่งอาจนำมาเปรียบเทียบได้กับไม้สนสีดาร์

    อารยธรรมโบราณเกือบทุกอารยธรรมจะต้องมีภาพวาดเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ ปรากฏอยู่ ภาพวาดหรือแกะสลักบนหิน, สิ่งของเครื่องใช้ หรือแม้แต่เครื่องปั้นดินเผา ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ ดูคล้ายคลึงกับภาพเหมือนไดโนเสาร์ในปัจจุบัน มีภาพแกะสลักบนหินที่ทวีปอเมริกาใต้ภาพหนึ่งเป็นภาพของผู้ชายขี่สัตว์ที่ดูคล้ายกับไดโนเสาร์พันธ์ไดโพลโดคัส และที่น่าอัศจรรย์คือ ภาพอื่น ๆ ดูเหมือนเป็นภาพของสัตว์ที่คล้ายกับทรีเซอราทอป, เทอโรแดคทริล และ ไทแรนโนซอรัส เร็คส์ ภาพลงหินลวดลายโมเซอิคของชาวโรมัน, เครื่องปั้นดินเผาของชนเผ่ามายัน, และกำแพงเมืองบาบิโลน ล้วนแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในสัตว์เหล่านี้ของมนุษย์ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในวัฒนธรรมไหน, ภูมิภาคไหนในโลกก็ตาม ในหนังสือชื่อ Il Milione ที่มาร์โค โปโลเขียนเกี่ยวกับการเดินทางของเขา เขาได้ผสมเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับสัตว์เฝ้าสมบัติเข้าไปด้วย ในปัจจุบันรายงานเกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้ยังมีอยู่แม้ว่ามันจะถูกมองด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก

    นอกจากหลักฐานมากมายทางด้านมานุษย์วิทยาและประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่ามีไดโนเสาร์อยู่ร่วมกับมนุษย์มาแล้ว ยังมีหลักฐานทางกายภาพอื่น ๆ อีกด้วย เช่นได้มีการค้นพบฟอสซิลของรอยเท้าของมนุษย์และไดโนเสาร์อยู่ด้วยกันในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอาเซียตะวันตกและกลาง

    แล้วมีไดโนเสาร์ในพระคัมภีร์หรือไม่? คำตอบยังไม่แน่นอน มันขึ้นอยู่กับว่าท่านตีความหมายของหลักฐานที่มีอยู่อย่างไร และมีมุมมองต่อโลกรอบ ๆ ตัวอย่างไร แต่พวกเราที่ GotQuestions.org เชื่อการตีความหมายในยุคถัดมา และเชื่อว่าไดโนเสาร์และมนุษย์เคยอยู่ร่วมกัน เราเชื่อว่าไดโนเสาร์สูญพันธ์หลังน้ำท่วมโลกเนื่องจากผลผสมกันของการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและความจริงที่ว่าพวกมันถูกล่าโดยมนุษย์จนสูญพันธ์ไป



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้ว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์มีไดโนเสาร์หรือไม่?