• คำถามเกี่ยวกับลัทธิและศาสนาต่าง ๆ



    คำถามเกี่ยวกับลัทธิและศาสนาต่าง ๆ

    พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?
  • คำจำกัดความของคำว่าลัทธิมีอะไรบ้าง?
  • อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะประกาศกับคนที่เชื่อในลัทธิเทียมเท็จหรือศาสนาเทียมเท็จ?
  • ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้สอนเทียมเท็จ/เผยพระวจนะเทียมเท็จ?
  • พยานพระยะโฮวาห์เป็นใคร? และพวกเขาเชื่ออะไร?
  • มอร์มอนเป็นลัทธิเทียมเท็จหรือไม่? มอร์มอนเชื่ออะไร?
  • คริสเตียนควรอดทนกับความเชื่อในศาสนาอื่นของคนอื่นไหม?


  • กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คำถามเกี่ยวกับลัทธิและศาสนาต่าง ๆ
  • พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?




    คำถาม: พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?

    คำตอบ:
    “ ฉันเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ” “ โอเค ถึงแม้ฉันจะทำเรื่องไม่ดีบ้าง แต่ฉันก็ทำความดีมากกว่า ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ” “ พระเจ้าไม่ส่งฉันไปลงนรก เพียงเพราะฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบพระคัมภีร์หรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว!” “ เฉพาะคนที่เลวจริง ๆ อย่างคนที่ข่มขืนเด็ก และพวกฆาตกรเท่านั้นแหละ ที่จะต้องลงนรก ”

    สิ่งข้างต้นนี้ คือคำกล่าวอ้างที่คนส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องการไปสวรรค์ แต่ความเป็นจริงก็คือ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความเท็จ ซาตานซึ่งเป็นผู้ครองโลกได้ฝังความคิดเหล่านี้ไว้ในหัวพวกเรา ซาตานและผู้ใดก็ตามที่เดินตามมัน คือศัตรูพระเจ้า ในพระธรรม (1 เปโตร 5:8) ซาตานมักปลอมตัวเป็นคนดีอยู่เสมอ ในพระธรรม ( 2 โครินธ์ 11:14) แต่มันควบคุมทุกความคิดที่ไม่ใช่ของพระเจ้า “ ซาตาน ซึ่งเป็นพระของโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ ได้ปิดบังจิตใจของผู้ที่ไม่เชื่อให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า”ในพระธรรม (2 โครินธ์ 4:4)เป็นเรื่องโกหกที่ว่า พระเจ้าไม่สนใจกับความบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ และนรกนั้นมีไว้สำหรับ “คนเลว” เท่านั้น บาปทุกชนิดเป็นตัวกั้นเราออกจากพระเจ้า แม้กระทั่ง “การโกหกด้วยความบริสุทธิ์ใจ” มนุษย์ทุกคนล้วนมีบาป และไม่มีใครดีพอที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ด้วยตัวเองได้ ในพระธรรม (โรม 3:23) การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ “แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า ก็หาได้เป็นเพราะทางการประพฤติไม่ ถ้าเป็นทางการประพฤติ พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป – ได้มาเปล่า ๆ และได้แม้กระทั่งเราไม่สมควรที่จะได้รับ”ในพระธรรม (โรม 11:6) เราไม่สามารถจะทำการดีเพื่อจะเป็นทางไปสวรรค์เองได้ ในพระธรรม (ทิตัส 3:5)

    “จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” ในพระธรรม ( มัทธิว 7:13) ถึงแม้ว่าทุกคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ในความบาป และการเชื่อและวางใจในพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นปฏิบัติกัน พระเจ้าก็จะไม่ทรงยอมให้กับข้ออ้างนี้เด็ดขาด “ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง” ในพระธรรม (เอเฟซัส 2:2)

    เมื่อพระเจ้าสร้างโลกนั้น โลกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนดีทั้งสิ้น ต่อมาพระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา และให้อิสระแก่พวกเขา ดังนั้น เขาจึงเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตตาม และเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ แต่อาดัม และเอวามนุษย์คู่แรกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้รับการล่อลวงโดยซาตานให้ขัดคำสั่งพระเจ้า พวกเขาจึงมีความบาปซึ่งเป็นตัวแยกเขา (รวมถึงทุกคนที่เกิดมาหลังจากนั้น และพวกเราด้วยเช่นกัน) ออกจากสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และไม่สามารถอยู่ท่ามกลางความบาปได้ ในฐานะที่เราเป็นคนบาป เราไม่สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยวิถีทางของเราเอง ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงให้มีหนทางหนึ่งขึ้น เพื่อที่เราจะได้กลับมาคืนดีกลับพระองค์ในสวรรค์ได้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์”ในพระธรรม (ยอห์น 3:16) “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตายแต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ในพระธรรม (โรม 6:23) พระเยซูทรงบังเกิดมาในโลกนี้ เพื่อพระองค์จะได้สอนพวกเราถึงทางรอดนั้น และมาตายเพื่อบาปของเรา เพื่อเราจะไม่ต้องตาย และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในพระธรรม (โรม 4:25) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยขนะเหนือความตายของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พระเจ้าและมนุษย์ เพื่อเราจะได้มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ เพียงแค่เรารับเชื่อ

    “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” ในพระธรรม (ยอห์น 17:3) คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้า แม้แต่ซาตานก็ยังเชื่อ แต่การจะได้รับความรอดนั้น เราต้องหันเข้าหาพระองค์ และสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัว หันหลังให้กับความบาป และติดตามพระองค์ เราจะต้องเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูในทุกสิ่งที่เรามี และทุกสิ่งที่เรากระทำ “คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน” ในพระธรรม (โรม 3:22) พระคัมภีร์สอนไว้ว่า ไม่มีทางรอดอื่นใดนอกจากทางพระคริสต์ พระเยซูตรัสไว้ในพระธรรม ยอห์น 14:6 ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”

    พระเยซูทรงเป็นทางรอดเพียงทางเดียว เพราะพระองค์คือผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถชดใช้โทษจากบาปของเราได้ (โรม 6:23) ไม่มีศาสนาใดสอนถึงความบาป และผลของความบาปอย่างลึกซึ้ง ไม่มีศาสนาใดเสนอวิธีชดใช้ความบาปเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์จะทรงให้เราได้ ไม่มี “ศาสดา” ท่านใดมาจุติเป็นมนุษย์ (ยอห์น 1:1,14) ซึ่งเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่หนี้แห่งความบาปจะได้รับการชดใช้ พระเยซูต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้น เพื่อพระองค์จะสามารถชดใช้บาปของเราได้ และพระองค์ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เพื่อพระองค์จะได้ตาย ความรอดมีเพียงทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น! “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” ในพระธรรม (กิจการ 4:12)

    คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”


    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?
    <>
  • คำจำกัดความของคำว่าลัทธิมีอะไรบ้าง?




    คำถาม: คำจำกัดความของคำว่าลัทธิมีอะไรบ้าง?

    คำตอบ:
    บ่อยครั้งเมื่อเราคิดถึงลัทธิเทียมเท็จ เราคิดว่าพวกเขาเป็นพวกที่กราบไหว้ซาตาน, ใช้สัตว์เป็นเครื่องถวายบูชา ทำกิจกรรมที่ชั่วร้าย แปลกเพี้ยน และ ทำศาสนพิธีของคนนอกศาสนา แต่ความจริงลัทธิเทียมเท็จส่วนใหญ่ค่อนข้างพาซื่อ คำจำกัดความของคำว่าลัทธิในความเห็นของคริสเตียน คือ กลุ่มศาสนาที่ปฏิเสธหลักข้อเชื่อพื้นฐานในพระคัมภีร์หนึ่งข้อหรือมากกว่าหนึ่งข้อ หรือจะพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ ลัทธิคือกลุ่มคนที่สอนอะไรบางอย่างที่จะทำให้คนไม่ได้รับความรอดหากเขาเชื่อในคำสอนนั้น ข้อแตกต่างระหว่างลัทธิเทียมเท็จและศาสนา คือ ลัทธิเทียมเท็จคือกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ปฏิเสธความจริงที่สำคัญยิ่งในพระคัมภีร์ของคริสเตียน

    มีคำสอนที่ลัทธิต่าง ๆ ชอบใช้สอนกันมากที่สุดอยู่สองประการคือ พระเยซูทรงไม่ใช่พระเจ้า และความรอดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว แต่การปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ทำให้การวายพระชนม์ของพระเยซูไม่เพียงพอที่จะเป็นค่าไถ่บาปของเรา การปฏิเสธว่าเราจะได้รับความรอดโดยมีความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ทำให้เราต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อได้มา – นี่เป็นอะไรที่พระคัมภีร์ยืนยันอย่างหนักแน่นและตลอดเวลาว่าไม่ใช่ - ตัวอย่างของลัทธิเทียมเท็จที่เป็นที่รู้จักกันดีสองตัวอย่างคือ ลัทธิพยานพระยะโฮวาห์ และ ลัทธิมอร์มอน ลัทธิทั้งสองอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ปฏิเสธคำสอนหลักสองประการที่เอ่ยมาแล้วข้างต้น ลัทธิพยานพระยะโฮวาห์ และ ลัทธิมอร์มอน เห็นด้วยกับหลายอย่างที่พระคัมภีร์สอนหรือคล้ายกับที่พระคัมภีร์สอน แต่การปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์และความรอดที่มาถึงเราโดยความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้พวกเขากลายเป็นลัทธิเทียมเท็จ สมาชิกหลายคนของลัทธิพยานพระยะโฮวาห์, ลัทธิมอร์มอนและลัทธิอื่น ๆ เป็น “คนดี” ที่แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ และ เชื่ออย่างจริงใจว่าความเชื่อของพวกเขาถูกต้อง เราได้แต่หวังและอธิษฐานว่าหลาย ๆ คนที่เกี่ยวข้องกับลัทธิ “คริสเตียน” จะได้พ้นจากการหลอกลวงและเห็นความจริงแห่งความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คำจำกัดความของคำว่าลัทธิมีอะไรบ้าง?
  • อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะประกาศกับคนที่เชื่อในลัทธิเทียมเท็จหรือศาสนาเทียมเท็จ?




    คำถาม: อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะประกาศกับคนที่เชื่อในลัทธิเทียมเท็จหรือศาสนาเทียมเท็จ?

    คำตอบ:
    สิ่งสำคัญที่สุดที่เราที่เราสามารถจะทำได้เพื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิหรือศาสนาเทียมเท็จคือการอธิษฐานเผื่อเขา เราต้องอธิษฐานให้พระเจ้าเปลี่ยนใจและเปิดตาของเขาเหล่านั้น (2 โครินธ์ 4:4) เราต้องอธิษฐานให้พระเจ้ายืนยันกับเขาว่าเขาต้องได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 3:16) หากไม่มีฤทธิอำนาจจากพระเจ้าและการฟ้องร้องในใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในการจูงใจใครให้เห็นความจริงได้ (ยอห์น 16:7-11)

    อีกประการหนึ่งคือเราจะต้องให้เขาเห็นว่าเรามีชีวิตคริสเตียนที่ดีเพื่อที่เขาจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา (1 เปโตร 3:1-2) เจาจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้าว่าจะเราจะประกาศอย่างมีพลังได้อย่างไร (ยากอบ 1:5) นอกจากนั้นเรายังต้องเต็มใจและมีความกล้าเมื่อประกาศพระกิตติคุณกับเขา เราต้องประกาศเรื่องความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์ (โรม 10:9-10) เราจำเป็นที่จะต้องพร้อมเสมอที่จะโต้แย้งเพื่อประกาศความเชื่อ (1 เปโตร3:15) แต่ต้องทำด้วยความอ่อนสุภาพและให้เกียรติผู้ฟัง ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เผชิญหน้ากับผู้เชื่อในลัทธิเทียมเท็จ และเพื่อนของข้าพเจ้าเป็นผู้ทำหน้าที่ประกาศความจริง แต่เพื่อนของข้าพเจ้าไม่ได้ประกาศด้วยความอ่อนสุภาพและให้เกียรติผู้ฟัง อันที่จริงแล้วผู้เชื่อในลัทธิเทียมเท็จแสดง "พระลักษณะของพระคริสต์" ออกมามากกว่าเพื่อนของข้าพเจ้าเสียอีก ในครั้งนั้นแม้ว่าเราเถียงชนะก็ตาม แต่เรากลับแพ้สงครามแย่งชิงจิตวิญญาณของผู้ที่เราพยายามประกาศไป

    ท้ายที่สุด เราต้องมอบความรอดของคนที่เราเป็นพยานไว้กับพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยให้คนรอด ไม่ใช่ความพยายามของเรา แม้ว่าการเตรียมตัวเพื่อเป็นพยานอย่างกระตือรือร้นและการมีความรู้เกี่ยวกับลัทธิหรือศาสนาเทียมเท็จนั้น ๆ เป็นเรื่องดีและฉลาด แต่ทั้งสองอย่างไม่ได้ทำให้ผู้ฟังที่ติดกับแห่งการโกหกของลัทธิและศาสนาเทียมเท็จเปลี่ยนใจได้ ทางที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้คือให้เราอธิษฐานเผื่อเขา เป็นพยาน และสำแดงชีวิตคริสเตียนให้พวกเขาเห็น แล้วให้เราวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้ดึงดูดใจพวกเขา ทำให้พวกเขาสำนึกได้และเปลี่ยนใจพวกเขาเอง



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะประกาศกับคนที่เชื่อในลัทธิเทียมเท็จหรือศาสนาเทียมเท็จ?
  • ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้สอนเทียมเท็จ/เผยพระวจนะเทียมเท็จ?




    คำถาม: ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้สอนเทียมเท็จ/เผยพระวจนะเทียมเท็จ?

    คำตอบ:
    พระเยซูได้ทรงเตือนเราไว้ว่า “พระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ” จะมาและพยายามหลอกลวงแม้กระทั่งคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ (มัทธิว 24:23-27; ดู 2 เปโตร 3:3 และยูดาห์ 17-18 ประกอบด้วย) เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากความเทียมเท็จและผู้สอนเทียมเท็จ จงรู้ความจริงเพื่อที่จะรู้ว่าอะไรเป็นของปลอม จงศึกษาของจริง ผู้เชื่อที่สามารถ “แยกแยะพระวจนะแห่งความจริงได้อย่างถูกต้อง” (2 ทิโมธี 2:15) และศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดรอบคอบจะสามารถรู้ว่าอะไรคือคำสอนเทียมเท็จ ยกตัวอย่างเช่น ผู้เชื่อที่ได้อ่านการงานของพระบิดา, พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหนังสือมัทธิว 3:16-17 จะมีคำถามเกิดขึ้นทันทีเมื่อเจอกับคำสอนที่ปฏิเสธตรีเอกานุภาพ ดังนั้น “ประการแรก” คือจงศึกษาพระคัมภีร์แล้วพิจารณาดูว่าคำสอนเหล่านั้นถูกต้องตามพระคัมภีร์หรือไม่

    พระเยซูตรัสว่า “เราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน” (มัทธิว 12:33) เมื่อเรามองหา “ผลจากต้นไม้” ข้อทดสอบสามประการต่อไปนี้สามารถนำมาทดสอบผู้สอนทุกคนได้เพื่อพิสูจน์ว่าคำสอนของเขาถูกต้องหรือไม่:

    1) ผู้สอนท่านนี้พูดถึงพระเยซูว่าอย่างไร? ในหนังสือมัทธิว 16:15 พระเยซูทรงถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นผู้ใด” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” และด้วยคำตอบนี้เปโตรจึงถูกเรียกว่า “ผู้เป็นสุข” ในหนังสือ 2 ยอห์น 9 ข้อพระคัมภีร์บอกว่า “ผู้ใดล่อลวงและไม่อยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ใดอยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร” หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระเยซูคริสต์และงานไถ่บาปของพระองค์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด; จงระวังผู้ที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงเสมอกับพระเจ้า; ผู้ที่ลดความสำคัญของการที่พระเยซูคริสต์ทรงเข้ามารับความตายแทนเราเพื่อไถ่บาปให้กับเรา; หรือผู้ที่ปฏิเสธการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ของพระเยซู หนังสือ 1 ยอห์น 2:22 กล่าวว่า “ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูมิใช่พระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์”

    2) ผู้สอนท่านนี้ประกาศพระกิตติคุณหรือไม่? คำจำกัดความของพระกิตติคุณคือข่าวประเสริฐเกี่ยวกับการวายพระชนม์ของพระเยซู, การทรงถูกฝังใว้ในอุโมงค์ และการฟื้นคืนพระชนม์ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ (1 โครินธ์ 15:1-4) แม้ว่าคำกล่าวที่ว่า “พระเจ้ารักคุณ”, “พระเจ้าอยากให้เราเลี้ยงดูคนยากจน”, และ “พระเจ้าอยากให้คุณร่ำรวย” ฟังดูแล้วดี แต่มันไม่ใช่ข่าวประเสริฐที่สมบูรณ์ ดังที่ท่านอาจารย์เปาโลได้เตือนไว้ในหนังสือกาลาเทีย 1:7 “ ความจริงข่าวประเสริญอื่นไม่มี แต่ว่ามีบางคนที่ทำให้ท่านยุ่งยาก และปรารถนาที่จะบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์” ไม่มีใครแม้กระทั่งผู้สอนเองมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข่าวสารที่พระเจ้าทรงให้เรา “ถ้าผู้ใดประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้รับไว้แล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกสาปแช่ง” (กาลาเทีย 1:9)

    3) ผู้สอนท่านนี้สำแดงคุณลักษณะที่ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่? เมื่อพูดถึงผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ หนังสือยูดาข้อ 11 กล่าวว่า “เขาได้ประพฤติตามอย่างคาอิน และได้ปล่อยตัวไปตามความผิดพลาดของบาลาอัมเพราะเห็นแก่สินจ้าง ฉะนั้นจึงได้พินาศไปในการกบฏอย่างโคราห์” หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จจะปรากฏตัวออกมาเองอันเนื่องมาจากความหยิ่ง (คาอินปฏิเสธแผนการพระเจ้า), ความละโมบ, (บาลาอัมเผยพระวจนะเพราะต้องการเงิน), และการกบฏ (โคราห์ยกตัวเหนือโมเสส)

    เพื่อเป็นการศึกษาเพิ่มเติม จงอ่านหนังสือฉบับต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ที่เขียนเพื่อต่อสู้คำสอนเทียมเท็จภายในคริสตจักรโดยเฉพาะ เช่น กาลาเทีย, 2 เปโตร, 2 ยอห์น, และยูดาส โดยปกติแล้วการที่จะชี้ตัวใครว่าเป็นผู้สอนเทียมเท็จ/ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เป็นเรื่องยาก เพระฉะนั้นนี่คือความหมายของคำว่า “หมาป่าภายใต้เสื้อคลุมของลูกแกะ” ซาตานและสมุนของมันตบตาด้วยการปลอมเป็น “ทูตสวรรค์แห่งความสว่าง” (2 โครินธ์ 11:14) ทำตัวเป็นผู้รับใช้ของความชอบธรรม (2 โครินธ์ 11:15) การได้รู้จักความจริงอย่างถ่องแท้เท่านั้นที่จะทำให้เรารู่ได้ว่าอะไรคือของปลอม



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้สอนเทียมเท็จ/เผยพระวจนะเทียมเท็จ?
  • พยานพระยะโฮวาห์เป็นใคร? และพวกเขาเชื่ออะไร?




    คำถาม: พยานพระยะโฮวาห์เป็นใคร? และพวกเขาเชื่ออะไร?

    คำตอบ:
    นิกายที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามของพยานพระยะโฮวาห์ในปัจจุบัน เริ่มขึ้นที่รัฐเพนซิลเวเนียในปี 1870 โดยเริ่มต้นด้วยการเปิดเป็นชั้นเรียนพระคัมภีร์โดย Charles Taze Russell รัซเซลตั้งชื่อกลุ่มว่า “Millennial Dawn Bible Study” ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต Charles T. Russell ได้เขียนหนังสือออกมาชุดหนึ่งที่เขาตั้งชื่อว่า "The Millennial Dawn" ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหกเล่ม หนังสือชุดนี้มีหลักศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ชาวลัทธิพยานพระยะโฮวาห์ยึดเป็นหลักในปัจจุบัน หลังจากที่รัซเซลเสียชีวิตลงในปี ค.ศ 1916 Judge J. F. Rutherford ผู้เป็นทั้งเพื่อนและผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาได้เขียนหนังสือเล่มที่เจ็ดซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายในชุด "The Millennial Dawn" ขึ้นมาในปี ค.ศ 1917 ชื่อ "The Finished Mystery" ต่อมาในปี ค.ศ 1886 สมาคมพระคัมภีร์หอสังเกตการณ์ ได้ถูกก่อตั้งขึ้น และได้กลายเป็นสื่อที่คณะ “Millennial Dawn” ใช้ในการเผยแพร่แนวความคิดของพวกเขา คนกลุ่มนี้ใช้ชื่อว่า “Russellites” จนกระทั่งถึงปี ค.ศ 1931 จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “พยานพระยะโฮวาห์” เนื่องจากเกิดการแตกแยกกันในกลุ่ม กลุ่มที่เหลือหลังจากที่กลุ่มพยานพระยะโฮวาห์แยกตัวออกมาเรียกตัวเองว่า “the Bible students”

    พยานพระยะโฮวาห์เชื่อในอะไร? จากการพิจารณาคำสอนของพวกเขาเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระเยซู, ความรอด, ตรีเอกานุภาพ, พระวิญญาณบริสุทธิ์, การชดเชยบาป ฯลฯ อย่างใกล้ชิด ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้ยึดหลักความเชื่อที่คริสเตียนยึดถือเลยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ พยานพระยะโฮวาห์มองว่าพระเยซูคืออัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอล ผู้เป็นสิ่งทรงสร้างสูงสุด ความเชื่อนี้ขัดแย้งกับข้อพระคัมภีร์หลาย ๆ ข้อที่บอกอย่างชัดเจนว่าพระเยซูคือพระเจ้า (ยอห์น1:1,14; 8:58; 10:30) พยานพระยะโฮวาห์เชื่อว่าความรอดเกิดขึ้นโดยทางความเชื่อ, การทำความดี, และการมีความเชื่อฟังผสมผสานกัน ความเชื่อนี้ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่บอกไว้หลายครั้งจนนับไม่ถ้วนว่าความรอดมาถึงเราได้โดยความเชื่อ (ยอห์น 3:16; เอเฟซัส 2:8-9; ทีตัส 3:5) พยานพระยะโฮวาห์ปฏิเสธตรีเอกานุภาพ โดยเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพลังของพระเจ้า พยานพระยะโฮวาห์ไม่ยอมเชื่อว่าพระคริสต์คือตัวแทนลบบาปของเราแต่กลับเชื่อในทฤษฎีที่ไม่มีที่มาที่ไปว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคือการไถ่บาปของอาดัม

    พยานพระยะโฮวาห์เอาอะไรมายืนยันคำสอนที่ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์เหล่านี้? (1) พวกเขาอ้างว่าคริสตจักรบิดเบือนพระคัมภีร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว (2) พวกเขาได้แปลพระคัมภีร์ขึ้นมาใหม่แล้วเรียกว่า the New World Translation สมาคมหอสังเกตการณ์ได้แก้ไขข้อความในพระคัมภีร์ให้สอดคล้องกับคำสอนของพวกเขา แทนที่จะยึดหลักข้อเชื่อตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ฉบับ New World Translation ได้ถูกแก้ไขหลายครั้งเมื่อชาวพยานพระยะโฮวาห์พบว่าข้อพระคัมภีร์ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพวกเขา

    พยานพระยะโฮวาห์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นลัทธิเทียมเท็จที่ยึดถือข้อพระคัมภีร์อย่างไม่เอาจริงเอาจังอะไรนัก พวกหอสังเกตการณ์ยึดความเชื่อและหลักคำสอนดั้งเดิมและที่ต่อเติมขึ้นมาเองของ Charles Taze Russell, Judge Joseph Franklin Rutherford, และผู้สืบทอดคนอื่น ๆ ของพวกเขา คณะกรรมการปกครองของสมาคมหอสังเกตการณ์เป็นเพียงคณะกรรมการในลัทธิที่อ้างสิทธิอำนาจในการตีความหมายพระคัมภีร์ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่คณะกรรมการของพวกเขาพูดเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ใด ๆ ถือว่าเป็นคำขาด และความคิดเห็นใดที่นอกเหนือไป จากนั้นพวกเขาไม่สนับสนุนให้เกิดขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านอาจารย์เปาโลได้ตักเตือนทิโมธี (และพวกเราด้วย) ว่าให้หมั่นศึกษาค้นคว้าเพื่อสำแดงตนเองให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า เป็นคนงานที่ไม่ต้องละอาย แยกแยะพระวจนะแห่งความจริงนั้นได้อย่างถูกต้อง คำตักเตือนที่อยู่ในข้อพระคัมภีร์ 2 ทิโมธี 2:15 นี้เป็นคำตักเตือนของพระเจ้าถึงลูก ๆ ของพระองค์ในพระกายอย่างชัดเจนว่าให้เป็นเหมือนคนบาเรียนและให้ค้นคว้าพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อค้นหาว่าสิ่งที่ได้รับมาถูกต้องตรงกับพระวจนะของพระองค์หรือไม่

    พวกพยานพระยะโฮวาห์ควรได้รับคำชมเชยใน “ความพยายามในการประกาศ” คงไม่มีกลุ่มศาสนากลุ่มไหนที่มีความสัตย์ซื่อในการประกาศเท่ากับกลุ่มพยานพระยะโฮวาห์ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าข่าวสารที่พวกเขาประกาศออกไปนั้นเต็มไปด้วยความบิดเบือน หลอกลวง และหลักคำสอนเทียมเท็จ ขอพระเจ้าทรงเปิดตาของพวกเขาให้ได้เห็นความจริงของพระกิตติคุณและคำสอนที่แท้จริงจากพระวจนะของพระเจ้าด้วยเถิด



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พยานพระยะโฮวาห์เป็นใคร? และพวกเขาเชื่ออะไร?
  • มอร์มอนเป็นลัทธิเทียมเท็จหรือไม่? มอร์มอนเชื่ออะไร?




    คำถาม: มอร์มอนเป็นลัทธิเทียมเท็จหรือไม่? มอร์มอนเชื่ออะไร?

    คำตอบ:
    ศาสนามอร์มอนเกิดขึ้นเมื่อเกือบสองร้อยปีที่ผ่านมาโดย Joseph Smith ผู้ซึ่งอ้างว่าพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาหาเขาเป็นการส่วนตัวและบอกกับเขาว่าคริสตจักรทั้งหมดและหลักความเชื่อของคริสตจักรทั้งหมดเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า Joseph จึงตั้งศาสนาใหม่เอี่ยมขึ้นมาแล้วอ้างว่าเป็น “คริสตจักรที่ถูกต้องคริสตจักรเดียวในโลก” แต่ปัญหาเกี่ยวกับลีทธิมอร์มอนก็คือมันขัดแย้ง, แก้ไขเปลี่ยนแปลงและขยายพระคัมภีร์ออกไป คริสเตียนไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดว่าพระคัมภีร์ไม่เป็นความจริงและไม่เพียงพอ การที่จะเชื่อพระเจ้าและวางใจในพระองค์หมายความว่าเราจะต้องเชื่อในพระวจนะของพระองค์ และข้อพระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าพระคัมภีร์มาจากพระองค์ (2 ทิโมธี 3:16)

    ลัทธิมอร์มอนเชื่อว่าอันที่จริงแล้วพระวจนะที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้ามีแหล่งที่มาสี่แหล่งแทนที่จะเป็นแหล่งเดียว คือ 1) พระคัมภีร์ “หากได้รับการแปลอย่างถูกต้อง” แต่ไม่ได้บอกว่าข้อไหนที่แปลผิด 2) พระคัมภีร์มอร์มอน ที่ “แปล” โดย Charles Smith และได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นมาในปี ค.ศ 1830 Charles Smith อ้างว่าพระคัมภีร์ฉบับนี้ “ถูกต้องที่สุด” ในโลก และผู้อ่านน่าจะได้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นด้วยการติดตามคำสอนของหนังสือเล่มนี้ “มากกว่าหนังสือเล่มใดทั้งสิ้น” 3) หลักคำสอนและพันธสัญญา ที่ลัทธิมอร์มอนถือว่าเป็นข้อพระคัมภีร์ประกอบด้วยการเปิดเผยสำแดงสมัยใหม่มากมายเกี่ยวกับ “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพดีแล้ว” 4) ไข่มุกล้ำค่า ซึ่งลัทธิมอร์มอนถือว่าเป็นหนังสือที่ “อธิบายจนหมดข้อสงสัย” หลักคำสอนและคำสอนที่ตกหล่นไปจากพระคัมภีร์และหนังสือนี้ได้ต่อเติมข้อมูลของพวกเขาเกี่ยวกับกำเนิดของโลกเข้าไป

    ลัทธิมอร์มอนเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าดังนี้: พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นองค์ยิ่งใหญ่สูงสุดในจักรวาลแต่ทรงได้รับฐานะโดยทางการทรงอยู่อย่างชอบธรรมและความพยายามที่ไม่ลดละ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้า พระบิดา ทรงมี “ร่างกายที่ประกอบด้วยเนื้อหนังและกระดูกที่จับต้องได้เหมือนที่มนุษย์มี” แม้ว่าจะถูกทิ้งโดยผู้นำหัวสมัยใหม่ของมอร์มอน Brigham Young ได้สอนไว้ว่าอันที่จริงแล้วอาดัมคือพระเจ้าและบิดาของพระเยซูคริสต์ แต่คริสเตียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าดังนี้ว่า: มีพระเจ้าองค์เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4, อิสยาห์ 43:10, 44:6-8), พระองค์ทรงดำรงอยู่เสมอมาและตลอดไป (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:27, สดุดี 90:2, 1 ทิโมธี 1:17), พระองค์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแต่ทรงเป็นผู้สร้าง (ปฐมกาล บทที่ 1, สดุดี 24:1, อิสยาห์ 37:16) พระองค์ทรงไร้ตำหนิและไม่มีใครเทียบเท่าพระองค์ได้ (สดุดี 86:8, อิสยาห์ 40:25) พระเจ้าพระบิดาทรงไม่ใช่มนุษย์ และไม่เคยทรงเป็นมนุษย์ (กันดารวิถี 23:19, 1 ซามูเอล 15:29, โฮเชยา 11:9) พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24) และพระวิญญาณทรง ไม่ได้ประกอบด้วยเนื้อหนังและกระดูก (ลูกา 24:39)

    ลัทธิมอร์มอนเชื่อว่าอาณาจักรหลังความตายมีอยู่สามระดับที่แตกต่างกัน คือ อาณาจักรสวรรค์ (Celestial Kingdom), อาณาจักรบนพื้นโลก (Terrestrial Kingdom), อาณาจักรของผู้ไม่เชื่อ (Telestial Kingdom and outer darkness) มนุษย์จะไปจบลงที่อาณาจักรไหนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเชื่อและทำอะไรในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าหลังความตายเราจะไปสวรรค์หรือนรกขึ้นอยู่กับว่าเรามีความเชื่อในพระเยซูหรือไม่ การละสังขารในฐานะผู้เชื่อหมายถึงการไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า (2 โครินธ์ 5:6-8) ผู้ไม่เชื่อจะถูกส่งไปนรกหรือแดนมรณา (ลูกา 16:22-23) เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาในครั้งที่สอง เราจะได้รับกายใหม่ (1 โครินธ์ 15:50-54) จะมีสวรรค์และโลกใหม่สำหรับผู้เชื่อ (วิวรณ์ 21:1) และผู้ไม่เชื่อจะถูกโยนลงไปยังบึงไฟนรกตลอดกาล (วิวรณ์ 20:11-15) ไม่มีการไถ่ครั้งที่สองหลังความตาย (ฮีบรู 9:27)

    ผู้นำของลัทธิมอร์มอนสอนว่าการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคือผลของการมีความสัมพันธ์ทางร่างกายระหว่างพระเจ้าพระบิดาและนางมารีย์ พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นหนึ่งในพระเจ้า และมนุษย์ก็สามารถเป็นพระเจ้าได้เหมือนกัน แต่คริสเตียนได้ถูกสอนมาว่าพระเจ้าทรงเป็นตรีเอกานุภาพ และพระองค์ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ในฐานะพระบิดา, พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัทธิว 28:19) และจะมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่เลือกพระองค์ “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” (มัทธิว 7:13) เราทุกคนสมควรที่จะได้รับการลงโทษนิรันดร์สำหรับความบาปของเรา แต่ด้วยความรักและพระคุณอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าเราจึงมีทางออก “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (โรม 6:23)

    มันชัดเจนอยู่แล้วว่าทางเดียวที่เราจะได้รับความรอดคือการได้รู้จักกับพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์, พระเยซู (ยอห์น 17:3) มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำแต่โดยความเชื่อ (โรม 1:17, 3:28) เมื่อเรามีความเชื่อนี้เราก็จะเชื่อฟังกฎของพระเจ้าโดยอัตโนมัติ และได้รับบัพติศมาอันเนื่องมาจากความรักที่เรามีต่อพระองค์ ไม่ใช่เพราะเป็นข้อเรียกร้องในการที่จะได้รับความรอด เราสามารถรับของขวัญนี้ได้ไม่ว่าเราจะเป็นใครและได้ทำอะไรลงไปบ้างในอดีต (โรม 3:22) “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วผู้เชื่อในลัทธิมอร์มอนจะเข้ากับคนง่าย, เต็มไปด้วยความรัก, และเป็นคนมีเมตตา – พวกเขาเกี่ยวข้องกับศาสนาเทียมเท็จและบิดเบือนพระลักษณะของพระเจ้า, ของพระเยซูคริสต์ และทางที่จะนำไปสู่ความรอด



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • มอร์มอนเป็นลัทธิเทียมเท็จหรือไม่? มอร์มอนเชื่ออะไร?
  • คริสเตียนควรอดทนกับความเชื่อในศาสนาอื่นของคนอื่นไหม?




    คำถาม: คริสเตียนควรอดทนกับความเชื่อในศาสนาอื่นของคนอื่นไหม?

    คำตอบ:
    ในยุคแห่ง “ความอดทน” ของเรา การเป็นญาติดีกับทุกคุณธรรมความเชื่อถูกชวนเชื่อว่าเป็นคุณความดีสูงสุด ผู้เป็นญาติดีกับทุกความเชื่อบอกว่าหลักปรัชญา, แนวความคิด และความเชื่อทุกระบบมีกุศลเท่ากัน และสมควรที่จะได้รับเกียรติเสมอกัน ส่วนผู้ที่เห็นว่าความเชื่อหนึ่งดีกว่าอีกความเชื่อหนึ่งหรือ – ที่แย่ไปกว่านั้น – ผู้ที่อ้างว่าความเชื่อของตนเป็นความจริงแท้แน่นอนถูกมองว่าใจแคบ, ปิดหูปิดตา หรือแม้กระทั่งดันทุรัง

    แน่นอนว่าศาสนาต่าง ๆ อ้างอย่างเดียวกันทั้งนั้น และผู้เป็นญาติดีกับทุกศาสนาไม่สามารถหาเหตุผลที่สมควรมาไกล่เกลี่ยข้อแตกต่างอย่างหน้ามือเป็นหลังมือได้ ยกตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์บอกว่า “มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว” (ฮีบรู 9:27) แต่ศาสนาตะวันออกบางศาสนาสอนว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเราตายครั้งเดียวหรือหลายครั้งกันแน่? คำสอนทั้งคู่จะถูกทั้งคู่ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผู้เป็นญาติดีกับทุกศาสนาจึงจำเป็นที่จะต้องกำหนดนิยามความจริงเสียใหม่เพื่อที่จะทำให้สังคมทียึดถือ “ความจริง” ไม่เหมือนกันอยู่ร่วมกันได้

    พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” (ยอห์น14:6) คริสเตียนยอมรับความจริงไม่ใช่แค่ว่ามันเป็นเพียงแนวความคิดเท่านั้น แต่ในฐานะที่ความจริงนั้นทรงเป็นบุคคล การยอมรับความจริง นี้ทำให้คริสเตียนแตกต่างจากความเป็นคน “ใจกว้าง” โดยทั่วไป

    คริสเตียนยอมรับอย่างเปิดเผยว่าพระเยซูทรงฟื้นจากความตาย (โรม 10:9-10) หากคนที่เป็นคริสเตียนเชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์จริง ๆ แล้ว เขาจะทำ “ใจกว้าง” อยู่ได้อย่างไรเมื่อผู้ไม่เชื่อบอกว่าพระเยซูไม่เคยฟื้นคืนพระชนม์? การที่คริสเตียนจะปฏิเสธคำสอนที่ชัดเจนจากพระวจนะของพระเจ้าได้นั้นก็เท่ากับว่าเขาทรยศต่อพระองค์นั่นเอง

    จงสังเกตว่าตัวอย่างที่ยกมานั้นมาจากพื้นฐานแห่งความเชื่อของคริสเตียนทั้งสิ้น อะไรบางเรื่อง (เช่นการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ฝ่ายกาย) เป็นเรื่องที่อะลุ้มอะหล่วยไม่ได้ บางเรื่องอาจจะนำมาถกกันได้ เช่นใครเขียนหนังสือฮีบรู, “หนามในเนื้อ” ของท่านเปาโลคืออะไรกันแน่ ทูตสวรรค์ที่สามารถยืนบนหัวเข็มหมุดได้มีกี่องค์เป็นต้น เราไม่ควรสาละวนวุ่นวายอยู่กับการถกเถียงกันในเรื่องที่ไม่สำคัญ (2 ทิโมธี 2:23; ทิตัส 3:9)

    หากจะต้องโต้แย้งกัน/สนทนาตอบโต้กันเกี่ยวกับหลักคำสอนที่สำคัญ คริสเตียนควรควบคุมตัวเองไว้ให้ดีและให้เกียรติคู่สนทนา การไม่เห็นด้วยเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การไม่ให้เกียรติกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เราจะต้องยึดมั่นอยู่ในความจริง แต่ในเวลาเดียวกันเราจะต้องแสดงความอ่อนสุภาพกับผู้ที่ถามเกี่ยวกับความจริงด้วย เราจะต้องเต็มด้วยพระคุณและความจริงทั้งสองอย่าง ดังเช่นพระเยซู (ยอห์น 1:14)

    อาจารย์เปโตรแสดงความสมดุลระหว่างการให้คำตอบกับการมีความถ่อมไว้ว่า: “แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ” (1 เปโตร 3:15)



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คริสเตียนควรอดทนกับความเชื่อในศาสนาอื่นของคนอื่นไหม?